ชื่ออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

ปราสาทนครหลวง


 

          ปราสาทพระนครหลวง* เมื่อสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท  ตามใบบอกเมืองสระบุรี ในปี พ.ศ. ๒๑๔๙  นั้น ได้เสด็จฯ โดยชลมารคตามลำน้ำป่าสักถึงท่าเรือ  แล้วจึงเสด็จฯ  ต่อไปโดยขบวนช้าง  มีพรานบุญผู้พบรอยพระพุทธบาทเป็นผู้นำทาง  ก่อนเสด็จฯ กลับได้โปรดให้ฝรั่งส่องกล้องตัดถนนจากรอยพระพุทธบาทมาจนถึงท่าเรือ  ครั้นเสด็จฯ กลับมาตามสถลมารคที่สร้างใหม่ถึงท่าเรือแล้วจึงโปรดให้สร้างตำหนักริมน้ำขึ้น  ให้ชื่อว่า  พระตำหนักท่าเจ้าสนุก[๑]                   

          ข่าวการพบรอยพระพุทธบาท  ณ แขวงเมืองสระบุรี  ในขณะนั้น  นับเป็นมงคลนำความชื่นชมโสมนัสมาสู่ราชสำนักและพสกนิกรโดยถ้วนทั่ว   พระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อๆ มา  ทรงถือว่า  การเสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้เป็นพระราชกรณียกิจที่จำเป็น  และสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่พึงปฏิบัติ  และเส้นทางขบวนเสด็จนั้นมักจะเสด็จฯ โดยชลมารค  โดยเริ่มจากท่าเทียบเรือพระราชวังหลวง (ท่าวาสุกรี)  ไปจนถึงท่าเจ้าสนุก แล้วจึงเสด็จฯต่อโดยสถลมารค  แม่น้ำป่าสักจึงเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำที่สำคัญยิ่งเส้นทางหนึ่งนับแต่การค้นพบรอยพระพุทธบาท    ความงดงามแปลกตาของลำน้ำและภูมิประเทศสองฟากฝั่งได้ก่อให้เกิดจินตนาการแก่กวีผู้เดินทางผ่านคนแล้วคนเล่า  นับแต่ยุคเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์  ในสมัยอยุธยาจนถึงสมัยสุนทรภู่  ในสมัยรัตนโกสินทร์  ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสายพระพุทธบาท  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔  นักเดินทางจึงเปลี่ยนไปเดินทางทางรถไฟ

          ขบวนพยุหยาตราชลมารคเพื่อนมัสการพระพุทธบาทในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมนั้น  จะหยุดพักผ่อนไพร่พลและเสวยพระกระยาหารกลางวันตรงใกล้บริเวณลำน้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรี มาบรรจบกันเป็นทางน้ำสามแพรกบริเวณวัดใหม่ประชุมพล  อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  จนถึงบ่ายหายเหน็ดเหนื่อยแล้ว  ขบวนจึงจะเคลื่อนต่อไปตามลำน้ำป่าสักจนถึงท่าเจ้าสนุกแล้วหยุดประทับแรม  ต่อวันรุ่งขึ้นขบวนจึงจะเคลื่อนไปโดยสถลมารค

          ครั้นถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่โปรดที่จะหยุดการเดินทางในช่วงแรกที่วัดใหม่ประชุมพล  แต่จะหยุดประทับที่บริเวณริมน้ำใกล้วัดเทพจันทร์  ถัดจากวัดใหม่ประชุมพลลงมาเล็กน้อย  จนถึงปี พ.ศ. ๒๑๗๔  จึงโปรดให้ช่างไปถ่ายแบบปราสาทนครหลวงในเขมร  มาสร้างขึ้นไว้ในบริเวณสถานที่แห่งนี้  แล้วให้ชื่อ  “พระนครหลวง” ตามชื่อเดิม

          โบราณสถานปราสาทนครหลวง  จึงแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ 

  • ตัวปราสาทพระนครหลวง และ
  • ร่องรอยพระตำหนักที่ประทับสำราญพระราชอิริยาบถของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

          ปราสาทพระนครหลวง  เป็นอาคารก่ออิฐสี่เหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้น ชั้นแรกมีขนาด ๘๑ x ๙๔  เมตร  สูงจากพื้นเดิน ๔ เมตร  ชั้นที่สองขนาด  ๖๗ x ๗๕  เมตร  สูงจากพื้นชั้นแรก ๔ เมตร  เช่นเดียวกัน  ชั้นที่สามขนาด  ๔๖ x ๔๘  เมตร  สูงจากพื้นชั้นที่สูง ๓.๕๐ เมตร  จากการขุดแต่งเพื่อการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ พบว่าแกนในของฐานแต่ละชั้นก่อด้วยดินอัดแน่นจนถึงพื้นแล้วก่ออิฐเป็นเอ็นยึดขนาดกว้าง ๘๐ เซนติเมตร  สานกันเป็นแฉกทั่วพื้นที่ตรงมุมและทิศทั้ง ๔  ที่ระเบียงคดทุกชั้นทำเป็นปรางค์[๒]  บริวารชั้นแรกมี ๑๐ องค์  ชั้นที่สอง ๑๒ องค์  และชั้นที่สาม ๘ องค์  รวมทั้งสิ้น ๓๐ องค์  ลักษณะปรางค์แต่ละองค์มีแบบแปลนแผนผังเหมือนๆ กัน คือ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด ๘.๔๐ เมตร ย่อมุมไม้ยี่สิบ  ก่อเป็นฐานเขียง ๒ ชั้น แล้วขึ้นฐานบัวลูกแก้วอกไก่คู่รองรับเชิงบาตรและตัวเรือนธาตุตามลำดับ  ส่วนยอดทำเป็นชั้น ๕ ชั้น  ภายในองค์ปรางค์ประดิษฐานพระพุทธรูปปรางค์ละ ๒ องค์  ยกเว้นปรางค์หมายเลข ๗, ๑๘  และ ๒๖ ที่ต้องใช้เป็นเนื้อที่ของประตู

          ระเบียงคด  อาคารเชื่อมต่อระหว่างปรางค์ของแต่ละชั้นก่อผนังด้านนอกตัน  แต่ทำช่องหน้าต่างปลอมเลียนแบบช่องลูกมะหวดคล้ายศิลปะสถาปัตยกรรมที่นิยมทำกันในเขมร สมัยนครวัด ช่วงฐานก่อล้อกับการขึ้นรูปของฐานปรางค์ คือ  ทำเป็นฐานเขียง ๒ ชั้น  แล้วขึ้นฐานลูกแก้วอกไก่  ส่วนผนังด้านในก่อโปร่งทำเป็นเสาสี่เหลี่ยมปาดมุม  ปลายเสาเป็นบัวหงาย  มีหน้ากระดานรองรับระหว่างช่วงเสาก่อกำแพงหลังเจียดเตี้ยๆ โดยตลอด  หลังคาทรงจั่วมุงกระเบื้องดินเผาแบบลอนโค้ง  ด้านนอกลด ๒ ตับ  ด้านในลด ๓ ตับ  ภายในระเบียงมีฐานชุกชี  ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งหันพระพักตร์สู่องค์ปรางค์ประธานทุกด้านทุกชั้น

          ประตูทางเข้าขึ้นบนปราสาท  ชั้นแรกมี ๙ ประตู  ชั้นที่สอง  ๑๒ ประตู  และชั้นบน อีก ๙ ประตู  รวมทั้งสิ้น ๓๐ ประตู

          ท่อระบายน้ำ  ทำเป็นช่องสามเหลี่ยมสำหรับน้ำไหลลงพื้นข้างล่าง รวม ๔๐ จุด

          มีหลักฐานอยู่หลายประการ   เช่น  การฉาบปูนที่ผนังปรางค์และระเบียงเพียงการรองพื้นบางๆ ยังไม่ได้ตบแต่งฉาบผิวบันไดทางขึ้นบางแห่งยังไม่ได้ก่อ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อเสด็จประพาสมณฑลอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๔๒๑  ทรงพระราชนิพนธ์ถึงปราสาทแห่งนี้ว่า  “…คงสร้างไม่แล้วเสร็จเป็นแน่  จนบันไดก็ได้ก่อบ้างไม่ได้ก่อบ้างเป็นแต่ชักอิฐไว้  ตัวปรางค์กลางนั้น เห็นจะยังไม่ได้ก่อขึ้นเป็นแน่…”[๓]   ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานที่เชื่อได้ว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงสร้างปราสาทนครหลวงไม่แล้วเสร็จ

          พระตำหนักที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองแวะประทับสำราญพระราชอิริยาบถ  เวลาเสด็จโดยขบวนพยุหยาตราชลมารคเมื่อถึงเทศกาลนบพระพุทธบาทนั้น  ปัจจุบันคือสถานที่บริเวณศาลาพระจันทร์ลอยซึ่งตั้งอยู่ถัดท่าน้ำเข้าไปเพียงเล็กน้อย  จากงานขุดแต่งขุดค้นสถานที่แห่งนี้พบว่า  อาคารจัตุรุมุขได้สร้างทับซ้อนลงบนอาคารพื้นปูอิฐ[๔]     หลังคามุงกระเบื้อง  ซึ่งน่าเชื่อถือว่าเป็นศาลาโถงที่ประทับชั่วคราวของขบวนเสด็จพยุหยาตราของพระเจ้าปราสาททอง

          การซ่อมแปลงปราสาทพระนครหลวง

          ๑. แม้ปราสาทหลังนี้จะยังสร้างไม่แล้วเสร็จ ตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แต่ไม่ปรากฏร่องรอยการแต่งเติมเสริมต่อใดๆ จนสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา  ถึงปี พ.ศ. ๒๓๕๒  นายปิ่นหรือตาปะขาวปิ่นได้สร้างพระพุทธบาทสี่รอยและอุโบสถเพิ่มเติมขื้นบริเวณลานชั้นบน  พร้อมทั้งขอยกสถานที่นี้ขึ้นเป็นวัดและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕  ชาวบ้านเรียกวัดนี้กันสั้นๆ ว่า  วัดนคร  พระพิทักษ์เทพธานี (ด้วง  ณ ป้อมเพชร)  ปลัดกรุงเก่าเล่าว่า  พระชื่อปิ่นออกไปเมืองพม่า ได้เห็นแบบอย่างพระบาทสี่รอย  จึงกลับมาเรี่ยไรราษฎรทำขึ้น”

          การบูชาพระพุทธบาทสี่รอยเป็นคตินิยมของชาวพุทธฝ่ายหินยาน ซึ่งแพร่หลายอยู่ในอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรพุกามในสหภาพพม่า  พระพุทธบาทสี่รอยเป็นสัญลักษณ์ให้รำลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้ว ๔ พระองค์ คือ พระกกุกสันโธ พระโกนาคม  พระกัสสป  แลพระสมณโคดม

          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้เสด็จฯ ไปถวายผ้ากฐินที่วัดนี้และมีพระราชดำริจะสร้างปราสาทพระนครหลวงให้แล้วเสร็จ  แต่ทรงรังเกียจว่ามีอุโบสถที่ครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ภายใน  อยู่บนลานชั้นบน  จะรื้อเสียก็ไม่ควร  จึงไม่ได้ปฏิสังขรณ์ต่อ[๕]

          ๒. การบูรณซ่อมแปลงปราสาทพระนครหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  การซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงปราสาทพระนครหลวง  ครั้งสำคัญคือ  การซ่อมโดยรื้อของเก่าออกแล้วสร้างของใหม่แทน  โดยพระปลัดปลื้ม[๖]  วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส  และผู้มีศรัทธาอีกจำนวนหนึ่ง  พระปลัดปลื้มได้ขออนุญาตกระทรวงธรรมการรื้ออุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอยออกแล้วสร้างใหม่เป็นมณฑปจัตุรมุข แก้พระปรางค์ทิศเป็นทรงมณฑป  และซ่อมแซมปฏิสังขรณ์สิ่งชำรุดอื่นอีกหลายประการ การซ่อมแซมครั้งนั้นผู้ซ่อมมุ่งผลประโยชน์การใช้สอยในขณะนั้นเป็นหลักสำคัญ  ไม่ได้คำนึงถึงแบบแปลนแผนผังเดิม  ผลที่ปรากฏจึงเป็นภาพความขัดแย้งระหว่างของเก่าของใหม่ที่มองเห็นอยู่โดยทั่วไปตั้งแต่รูปแบบราวบันไดไปจนถึงส่วนยอด

          นอกจากปราสาทแล้ว พระปลัดปลื้มได้สร้างศาลาพระจันทร์ลอย  เป็นอาคารทรงจัตุรมุขลงบนสถานที่ที่เชื่อว่า  เดิม คือ  พระตำหนักนครหลวงของพระเจ้าปราสาททอง  ศาลาหลังนี้สร้างขึ้นประดิษฐานพระจันทร์ลอย  (แผ่นหินรูปกลมคล้ายเสมาธรรมจักร  แกะจากหินแกรนิต  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๓๕ เมตร  หนา ๒๐ เซนติเมตร  ด้านหน้าตอนบน  แกะสลักพระพุทธรูปนูนต่ำ  ขนาดเล็กจำนวน ๓ องค์  และเจดีย์ด้านข้างพระพุทธรูปอีกด้านละองค์  ด้านล่างแกะลาย  ตรงกลางลายทำเป็นรูปภาพต่างๆ ที่พอมองเห็นได้ชัดคือรูปปลา ๒ ตัว  นอกนั้นค่อนข้างลบเลือนมองไม่ชัด)

          ชาวบ้านเล่าขานกันว่าแผ่นหินพระจันทร์ลอยนี้  เดิมทีลอยน้ำมาตามแควป่าสัก มีผู้พบเห็นครั้งแรกที่บ้านศิลาลอย  ตำบลศาลาลอย  อำเภอท่าเรือ  ประชาชนในท้องถิ่นนั้นได้พยายามนำขึ้นจากน้ำแต่ไม่สามารถฉุดขึ้นได้  แผ่นหินจึงลอยน้ำเรื่อยมาจนถึงวัดเทพจันทร์[๗]   ชาวบ้านก็ได้ช่วยกันลงไปฉุดเพื่อจะนำไปไว้ที่วัด  แต่ก็ทำไม่สำเร็จไม่สามารถฉุดขึ้นมาได้เช่นเดียวกับชาวบ้านศิลาลอย  สมภารวัดเทพจันทร์ผู้เรืองวิชามีอาคมในย่านนั้นรู้เรื่องเข้าจึงนำด้ายสายสิญจน์ ๓ เส้น  ลงไปคล้องแล้วฉุดขึ้นไปไว้ที่วัดได้โดยง่ายดาย  พระจันทร์ลอยจึงได้ประดิษฐานที่วัดนี้อยู่ชั่วระยะหนึ่งจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  กระทรวงมหาดไทยจึงได้นำส่งไปเก็บไว้ที่วัดเบญจมบพิตร  กรุงเทพมหานคร

          เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบเรื่องพระปลัดปลื้มบูรณซ่อมแซมแปลงปราสาทนครหลวง  ตามหนังสือกระทรวงธรรมาการกราบบังคมทูลแล้ว  ทรงมีพระราชกระแสว่า  “อนึ่ง  พระจันทร์ลอยซึ่งกระทรวงมหาดไทยนำมาอยู่ที่วัดเบญจมบพิตร นั้น  ก็ไม่อัศจรรย์อะไร ถ้าให้พระปลัดปลื้มรับกลับไปตั้งไว้ที่วัดพระนครหลวงนี้  คนเห็นจะตื่นกันบูชา  เห็นจะเป็นเครื่องนำมาซึ่งทรัพย์สมบัติสำหรับก่อสร้าง  ดีกว่าอยู่กรุงเทพฯ ยอมอนุญาตให้นำกลับคืนไป

          พระจันทร์ลอยจึงกลับมาสู่ถิ่นเดิมอีกครั้งหนึ่ง  แม้จะไม่ใช่สถานที่เดิมคือ  วัดเทพจันทร์  แต่ศาลาพระจันทร์ลอยภายในบริเวณปราสาทพระนครหลวงแห่งนี้  ก็ห่างจากวัดเทพจันทร์เพียงไม่กี่ร้อยเมตร

          การเดินทางไปชมโบราณสถานแห่งนี้  ปัจจุบันเดินทางโดยรถยนต์นับว่าสะดวกที่สุด  ออกจากกรุงเทพฯ ไปตามถนนสายเอเชีย  จนถึงบ้านบ่อโพง  ก่อนข้ามสะพานแม่น้ำป่าสักมีทางแยกอยู่ด้านขวามือคือ  ถนนสายนครหลวง – ภาชี (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๖๓)  เดินทางต่อไปอีกประมาณ ๙ กิโลเมตร  ก็จะถึงปราสาทพระนครหลวง

          กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘  ได้ทำการซ่อมแซมบูรณเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. 

 

 

 

* นายประโชติ   สังขนุกิจ         ค้นคว้าเรียบเรียง

[๑] กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดาร  ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, ๒.

[๒] คำว่าปรางค์ในที่นี้เรียกโดยอนุโลม คล้ายคลึงกับที่มีอยู่ของวัดไชยวัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ซึ่งพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบางฉบับเรียกว่า “เมรุ”

[๓] ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา พ.ศ. ๒๔๒๑

[๔] รายงานการขุดแต่งประสาทนครหลวง

[๕] ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา พ.ศ. ๒๔๒๑

[๖] พระปลัดปลื้มเป็นชาวอำเภอพระนครหลวง  บวชอยู่วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส  มีผู้นับถือทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด  ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรให้เป็นพระครูวิหารกิจจานุรักษ์

[๗] ปัจจุบันชื่อวัดเทพจันทร์  ตำบลหนองหลวง  อำเภอนครหลวง  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 

 

 

 วิดีทัศน์