ชื่ออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

วัดเตว็ด


 

          วัดตะเว็ด*  เป็นวัดร้าง  ตั้งอยู่ริมคลองประจาม  ตำบลสำเภาล่ม  อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  นอกตัวเกาะอยุธยาไปทางทิศใต้

          หลักฐานทางโบราณคดีของวัดตะเว็ดที่เหลืออยู่ในปัจจุบันมีเพียงผนังอาคารด้านสกัด  มีจั่วเป็นรูปสามเหลี่ยมและเหลือเพียงด้านเดียว  พอจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส  สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ - ๑๖  และไทยรับเอาอิทธิพลของศิลปะนี้เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เนื่องจากฝรั่งเศสกับไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน สถาปัตยกรรมแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นอาคารสองชั้นก่ออิฐถือปูน  ใช้ระบบผนังอาคารเป็นตัวรองรับน้ำหนักของหลังคา  เจาะหน้าต่างเป็นรูปวงโค้ง  ยกพื้นสูง  (พื้นทำด้วยไม้)  ข้างล่างใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้  หน้าบันเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วก่ออิฐถือปูนประดับด้วยลวดลายปูนปั้น  มีรูปแบบที่แสดงอิทธิพลศิลปะแบบยุโรปสมัยนั้น  ผสมกับลวดลายไทยดูอ่อนหวานนุ่มนวล  กล่าวคือ ขอบหน้าบันเป็นลายแบบยุโรป  ส่วนที่เป็นหางหงส์ทำเป็นรูปศีรษะชาย ฝรั่งหันด้านข้างสวมวิกผมยาวเป็นลอน  สวมเสื้อมีระบายผูกผ้าพันคอแทน  ตรงกลางหน้าบันเป็นปูนปั้นรูปวิมานมีลายเครือเถาประดับ  แต่ใบไม้ที่อยู่ในลายเครือเถาเป็นใบอะแคนตัสของกรีกโบราณ  (ใบไม้ที่นิยมใช้เป็นลวดลายประดับมากในรัชสมัยพระจ้าหลุยส์ที่  ๑๔ - ๑๖  ของฝรั่งเศส)  แทนลายกระหนกของไทย  ส่วนแยกของลายมีลายนกคาบซึ่งเป็นลายไทยผสมเข้าไปด้วย  ผนังด้านในเจาะเป็นรูปหน้าต่างโค้งยอดแหลม  มีผู้สันนิษฐานว่าคงจะเป็นที่ไว้ตะเกียง แต่ระยะที่เจาะสูงเกินไปอาจใช้เป็นที่สำหรับไว้พระพุทธรูปสำหรับบูชา คล้ายกับโบสถ์ฝรั่งก็ได้

          ส่วนประวัติของวัดนี้  ตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา  ฉบับพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน กล่าวว่า  ส่วนสมเด็จพระอัครมหาสีฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา  แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ  ซึ่งทรงพระนามว่า  กรมหลวงโยธาทิพ  กรมหลวงโยธาเทพนั้นก็ทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน  แล้วพาเอาพระราชบุตร  ซึ่งทรงพระนามว่าตรัสน้อยนั้น  ออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดพุทไธสวรรย์”

          พระตำหนักที่เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธทิพ และเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพไปสร้างนี้คงจะอยู่ไม่ไกลจากวัดพุทไธสวรรย์มากนัก  และคงจะมีขนาดใหญ่โต  เนื่องจากจะต้องมีข้าทาสบริวารติดตามไปรับใช้ด้วยเป็นจำนวนมาก  แบบอย่างสถาปัตยกรรมที่ใช้สร้างคงจะเป็นแบบอย่างสถาปัตยกรรมที่นิยมกันในราชสำนักขณะนั้น  คือ  ศิลปะแบบเรเนซองส์ในยุคเจริญรุ่งเรืองของฝรั่งเศส  ที่ตั้งพระตำหนักนี้  น. ณ ปากน้ำให้ข้อสังเกตว่า   การก่อสร้าง  การปั้นปูน  วิจิตรสพิสดาร  อาจเป็นที่ประทับของเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพ  เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพละกระมัง  ท่านบวชชีอยู่วัดพุทไธสวรรย์  สำนักนางชีย่อมจะอยู่ไม่ให้ไกลวัด อีกประการหนึ่ง  เหล่านางข้าหลวงและนางบริวารก็คงจะบวชตามเสด็จจนเป็นสำนักนางชีใหญ่โต  สมัยนั้นคงจะรุ่งเรืองมาก  ตัวท่านเป็นเจ้านายที่พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์กลัวเกรงมาก…”   และที่ตั้งวัดตะเว็ดนี้ดูเหมาะที่จะสันนิษฐานว่าเป็นพระตำหนักดังกล่าว  ทั้งเรื่องระยะที่ตั้งซึ่งไม่ไกลไปจากวัดพุทไธสวรรย์มากนัก  และความโอ่อ่าภูมิฐานคาดว่าเมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพ  และเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพสิ้นพระชนม์ เหล่าข้าทาสบริวารคงจะแตกฉานซ่านเซ็นทิ้งให้พระตำหนักรกร้าง  ติดต่อมาคงมีพระภิกษุเข้าไปครอบครองทำเป็นวัดในภายหลัง  ส่วนชื่อวัด  “ตะเว็ด”  นั้นจะตั้งขึ้นสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน

          จากการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานจากประวัติศาสตร์ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า  วัดตะเว็ดคงจะสร้างขึ้นหลังรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ปัจจุบันวัดตะเว็ดตั้งอยู่ในป่าละเมาะ  มีหมู่บ้านชาวไทยอิสลามล้อมรอบ  หากจะมีการขุดค้นเนินโบราณสถานบริเวณวัดตะเว็ดก็คงจะได้พบหลักฐานที่จะกำหนดอายุโบราณสถานได้ชัดเจนกว่านี้.

 

 

* นางจินตนา   กระบวนแสง   ค้นคว้าเรียบเรียง