ชื่ออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

วัดธรรมาราม


 

 

          วัดธรรมาราม ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านป้อม หมู่ที่ ๖ นอกเกาะเมืองด้านทิศตะวันตกอยู่ติดกับ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเยื้องๆ กับเจดีย์ศรีสุริโยทัยใกล้กับวัดกษัตราธิราช ปัจจุบันหากมองจากบนฝั่งเกาะเมืองตรงบริเวณเจดีย์ศรีสุริโยทัย จะเห็นกุฏิโบราณก่ออิฐถือปูนหลังหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ในพระราชพงศาวดารฉบับ ๑ ได้กล่าวนามถึงวัดธรรมารามเป็นครั้งแรกเมื่อแผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช ครั้งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๑๑๒ นั้น ทัพบางส่วนก็ได้มาตั้งมั่นอยู่ที่วัดธรรมารามแห่งนี้ด้วยดังปรากฏข้อความในพระราชพงศาวดารตอนหนึ่งว่า

           “สมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่งคนให้ลอบไปปล่อยพระยาจักรีเข้าไปในกรุงทั้งสังขลิกพันธนา เจ้าหน้าที่พระยาธาระมา ตรงหน้าวัดสบสวรรค์ในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าพระเจ้าหงสาวตีทำเป็นให้ค้นหาพระยาจักรีทุกกองทัพ ไม่พบแล้วก็ให้เอาผู้คุมสามสิบคนไปตระเวณรอบกองทัพแล้วประหารชีวิตเสียไว้หน้าค่ายวัดธรรมา...”

          และต่อมาในแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในจดหมายเหตุประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป ได้กล่าวถึงวัดธรรมารามนี้อีกครั้งหนึ่งว่า

           “ลุศักราช ๑๑๑๕ (พ.ศ. ๒๒๙๖) ปีระกาเบญจศก ฝ่ายพระเจ้ากิตติศิริราชสีห์ ได้เสวยสมบัติในเมืองสิงขัณฑนคร เป็นอิศราธิบดีในลังกาทวีปและครั้งนั้น พระพุทธศาสนาในเกาะลังกาหาพระภิกษุสงฆ์มิได้ จึงแต่งให้ศิริวัฒนอำมาตย์เป็นราชทูตกับอุปทูต ตรีทูต จำทูลพระราชสาส์นคุมเครื่องมงคลราชบรรณาการมีพระบรมสารึรกธาตุ เป็นอาทิมากับกำปั่นโอลันขาพานิชวิลันดา เข้ามาจำเริญทางพระราชไมตรี ณ กรุงเทพมหานคร จะขอพระภิกษุสงฆ์ออกไปให้อุปสมบทบวชกุลบุตรสืบพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป ทรงพระกรุณาดำรัสสั่งให้จัตแจงรับทูตานุทูตลังกาตามธรรมเนียม แล้วให้เปิดทูตเข้าเฝ้ากราบถวายบังคม เสด็จออกแขกเมือง ณ มุขเด็จพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ตรัสพระราชปฎิสันถารสามนัดตามขัติยประเพณี แล้วพระราชทานรางวัลแก่ทูตานุทูดโดยสมควร จึงทรงพระกรุณาโปรดให้แต่งข้าหลวงเป็นทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์นคุมเครื่องราชบรรณาการตอบออกไปถึงพระเจ้าลังกา แล้วโปรดให้อาราธนาพระอุบาลี พระอริยมุนี พระราชาคณะสององค์ ซึ่งเป็นผู้แตกฉานในท้องพระไตรปิฎก และวิปัสสนาธุระ ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทไธสวฆย์ กับทั้งพระสงฆ์อันดับสิบสองูรป ออกไปตั้งพระพุทธศาสนาบวชกุลบุตรไว้ในลังกาทวีป และให้สมเด็จพระสังฆฆชวัดมหากตุ แด่งสมณะสาส์นออกไปด้วยอีกฉบับหนึ่ง แล้วให้แต่งกำปั่นลำหนึ่งให้ทูตานุทูตไทยกับทั้งพระสงฆ์สิบสูี่รปและพระราชสาส์น เครืองราชบรรณาการลงกำปั่นนั้นไปกับด้วยกำปั่นทูตานุทูดอันมาแต่ลังกานั้น”

          การไปลังกาทวีปของพระอุบาลี พระอริยมุนีกับพระเปรียญ ที่ไปเป็นพระกรรมวาจาจารย์อีก ๕ รูป พระอันดับอีก ๑๑ รูป และสามเณร ๗ รูป ครั้งนั้นเป็นการเลื่องลือกันมาก เพราะตามความคิดของคนไทยในสมัยนั้น เข้าใจว่าลังกาทวีปอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว การไปลังกาทวีปของพระอุบาลี พระอริยมุนีกับพระกรรมวาจาจารย์ พระอันดับ เท่ากับยอมถวายชีวิตให้แก่พระพุทธศาสนาน่าสรรเสริญ เพราะเรือได้ไปถูกพายุแตกต้องกลับมาแล้วออกเดินทางไปใหม่ ดังปรากฏเรื่องอยู่ในพระราชพงศาวดารแล้ว

          เมื่อคณะสมณะทูตจากสยามประเทศไปถึงลังกาทวีป สมเด็จพระเจ้ากิตติสึรราชสิงหะ พระเจ้ากรุงลังกาโปรดเกล้าฯ ให้พระอุบาลีกับคณะเข้าเฝ้าถวายพระพร เมื่อเดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ และโปรดเกล้าฯ ให้จำพรรษาอยู่ ณ วัดมาลาวดี (วัดบุปผาราม) ตามหลักฐานว่าท่านได้ให้อุปสมบทพระภิกษุได้ ๗๐๐ รูปบรรพชาเป็นภมเณรได้ ๓,๐๐๐ รูป ครั้นแล้วท่านก็ถึงแก่มรณภาพ เมื่อพุทธศักราช ๒๒๙๘  ณ วัดบุปผาราม กรุงลังกาทวีป พระเจ้ากรุงลังกาโปรดเกล้าฯพระราชทานเพลิงแล้ว บรรจุอัฐิธาตุไว้บนยอดเขา ซึ่งยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

          ส่วนพระอริยมุนี เมื่อได้ร่วมกันประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีปเป็นการมั่นคงแล้ว ก็ถวายพระพรลาพระเจ้ากรุงลังกากลับกรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยพระสงฆ์ชุดแรก อีก ๗ รูป (ได้มรณภาพที่กรุงลังกาเสีย ๑๐ รูป) สามเณร ๒ องค์ ออกจากกรุงลังกาปลายเดือนยี่ ข้างแรม ปีกุน จุลศักราช ๑๑๑๗ ถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันจันทร์ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาล พุทธศักราช ๒๒๙๙ และได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดธรรมารามจนกระทั่งมรณภาพ

          ในภูมิแผนที่พระนครศรีอยุธยา ได้กล่าวถึงวัดธรรมารามไว้ดังนี้

           “ด้านขื่อประจิมทิศ เรือจ้างบ้านชีย์ข้ามไปออกวัดไชยราม (วัดไชยวัฒนาราม) ๑ เรือจ้างวังหลังข้ามไปออกวัดลอดฉอง (วัดลอดช่อง) ๑ เรือจ้างด่านข้ามออกไปกระษัตรา ๑ เรือจ้างข้ามไปออกไปพระมา ๑ ด้านขื่อประจิมทิศมีเรือจ้างสี่ตำบล”

          ภายหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ แล้ว วัดธรรมารามคงถูกทอดทิ้งให้รกร้างไร้ผู้ดูแลรักษา ตราบจนกระทั่ง ในปี พ.ศ.๒๓๕๐ มีหลักฐานกล่าวถึงวัดธรรมาราม ในนิราศพระบาทของสุนทรภู่ ตอนหนึ่งว่า

เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง              ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร            การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ               ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง         อารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง
สังเวชวัดธารมาที่อาศัย                 ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง    มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กายา

          ถ้อยความในกลอนแสดงให้เห็นชัดว่า “พระวังหลัง” เสด็จมาปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ พระวังหลังพระองค์นั้นจะเป็นผู้อื่นใดไม่ได้ นอกจากสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอิน) ซึ่งประสูติเมื่อปีขาล พุทธศักราช ๒๒๘๙ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งคงจะได้เห็นความสำคัญของวัดธรรมาฆม จึงได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๓๒๘ - ๒๓๔๘ ก่อนหน้าที่จะทิวงคตในปี พ.ศ.๒๓๕๐

          ภายหลังจากการบูรณปฏิสังขรณ์ของกรมพระราชวังหลังครั้งรัชกาลที่ ๑ แล้ว วัดนี้คงจะได้มีพระสงฆ์จำพรรษาสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เพราะกุฏิที่ตั้งอยู่ริมน้ำที่เป็นกุฏิสองชั้นนั้นปัจจุบันคือหอไตร เป็นอาคารทรงไทยภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน เป็นเรื่องพุทธประวัติเทพชุมนุม การปลงอสุภกรรมฐาน และพระบรมสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ ๕

          อย่างไรก็ตาม วัดธรรมารามยังคงอยู่ใรความทรงจำของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนชาวลังกาด้วยเหตุที่พระอุปัชฌาจารย์องค์แรกของนิกายสยามวงศ์ คือพระอุบาลี ซึ่งเคยได้สถิตจำพรรษาอยู่ ณ วัดนี้ และในทุกๆ ครั้งที่พวกเขาเหล่านั้นได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยจึงอดมิได้ที่จะต้องเดินทางมานมัสการปูชนียสถานที่วัดธรรมารามแห่งนี้ ด้วยถือว่าเป็นวัดแห่งบรมคูรของพวกเขา เมื่อได้มาพบเห็นสภาพอันชำรุดทรุดโทรมแห่งเสนาสนะ ก็พากันบริจาคเงินเพื่อทำนุบำรุงให้ยั่งยืนสืบไป ทั้งนี้ทางวัดได้เริ่มทำการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมาตั้งแต่ป็ พ.ศ.๒๕๒๕ โดยความควบคุมและดูแลให้การแนะนำจากหน่วยศิลปากที่ ๑ และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน

          ภายในวัดมีเจดีย์ประธานทรงกลมบนฐานประทักษิณสี่เหลี่ยมเป็นประธานของวัด มีพระวิหารตั้งอยู่ทางทิศดะวันออก และพระอุโบสถตั้งอยู่ทางดัานหลังของเจดีย์ประธานทางทิศตะวันตก ส่วนหอไตรและหอระฆังดั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทางทิศดะวันออก ในเขตสังฆาวาส 

 

 วิดีทัศน์

 

 แผนที่ : การเดินทาง