ชื่ออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

วัดไชยวัฒนาราม


 

          ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันตกของพระนครศรีอยุธยาในหมู่แมกไม้บ้านส่วนและวัดวาอารามที่ดั้งอยู่เป็นระยะๆ ตั้งแต่หน้าวังหลังเรื่อยล่องมาตามสายน้ำจนถึงสามแยกใหญ่เเห่งกระเเสน้ำวนบางกะจะที่อุดมสมบูรณ์และคับคั่งไปด้วยเรือสำเภาของพ่อค้าวาณิชทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ บ้านเรือนที่ริมฝั่งแล้วล้วนเป็นพ่อค้าคหบดี และขุนนางชั้นสูงในราชสำนักแห่งพระนครศรีอยุธยา

          ลุศักราช ๒๑๗๐ ปีเถาะนพศก ที่วัดมงกุฎผู้คนดูคึกคักและวุ่นวายสับสน ด้วยเป็นงานปลงศพมารดาเจ้าพระยากลาโหม ขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก บรรดาข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนผู้ใหญ่ผู้น้อยพากันออกไปช่วยงานและนอนค้างอ้างแรมอยู่เป็นอันมาก เป็นสาเหตุให้ข้าหลวงเดิมในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสร้งนำความไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นการลับว่า เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์คิดทำการครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หากเอาการศพเข้ามาบังหน้าไว้ เห็นทีจะคิดประทุษร้ายต่อพระองค์เป็นมั่นคงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้มีวิจารณญาณให้ถ่องแท้ ก็ตกพระทัยตรัสให้เหล่าชาวป้อมล้อมพระราชวังขึ้นประจำหน้าที่ แล้วให้ขุนมหามนตรีออกไปหาตัวเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เข้ามาเฝัา

          ขณะนั้นหมื่นสรรเพชญูภักดี สอดหนังสือลับออกไปก่อนว่าพระราชโองการจะให้หาเข้ามาดูมวยบัดนีัเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้วเมื่อเจ้าคุณจะเข้ามานั้นให้คาดเชือกเข้ามาทีเดียว ครั้นขุนมหามนตรีออกไปถึงกราบเรียนว่า พระราชโองการให้หา เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ซึ่งได้รับแจ้งเหตุอยู่แล้ว จึงว่าขึ้นท่ามกลางขุนนางทั้งปวงว่า         

           “เราทำราชการกตัญญูมาแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหลวง ท่านทั้งปวงก็แจ้งอยู่สิ้นแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว ถ้าเรารักซึ่งราชสมบต ท่านทั้งหลายเห็นจะพ้นเราเจียวหรือ” ขุนนางทั้งปวงกราบแล้วจึงว่า ราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่เเก่ฝ่าเท้ากรุณาเจ้าสิ้น จะมีผู้ใดขัดแข็งนั้น ข้าพเจ้าทั้งปวงก็ไม่เห็นมีตัวแล้ว เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงว่า “บัดนี้พระเจ้าแผ่นดินว่าเราทำการประชุม ขุนนางพร้อมมูลดังนี้คิดการกบฏ ก็ท่านทั้งปวงซึ่งมาช่วยด้วยสุจริตนั้นจะมิพลอยเป็นกบฏด้วยหรือ” ขุนนางทั้งปวงก็พร้อมกับกราบเรียนว่า “เป็นธรรมดาอยู่แล้วจึงว่าถ้าเท้ากรุณาจะทำการใหญ่จริง ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอเอาชีวิตสนองพระคุณตายก่อน”

          ครั้นเพลาบ่ายสามโมงเศษ จุเพลิงเผาศพเสร็จแล้ว ได้เวลาอุดมฤกษ์เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ก็ลงเรือพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวงเข้าโจมตีวังหลวงได้ แด่ในเพลาคืนนั้น

          ในปี พ.ศ.๒๑๗๓ ภายหลังจากข้าราชการขุนนางพร้อมใจกันปลดสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ซึ่งมีพระชนม์เพียง ๙ พรรษา ลงจากราชบัลลังก์ และมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เจ้าพระยกลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นผ่านพิภพเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระนามเจ้าปราสาททอง แล้วพระราชทานปูบำเหน็จฆงวัลให้แก่ขุนนาง ข้าราชการตามสมควรแก่ฐานันดรศักดิ์ และที่บ้านสมเด็จพระพันปีหลังนั้น พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาปนาสร้างพระมหาธาตุเจดีย์มีพระระเบียงรอบ และมุมพระระเบียงนั้นกระทำเป็นเมรุทิศ เมรุรายอันรจนา และกอปรด้วยพระอุโบสถ พระวิหารการเปรียญ และสร้างกุฎีถวายพระสงฆ์เป็นอันมาก เสร็จแล้วให้นามชื่อ วัดชัยวัฒนาราม เจ้าอธิการนั้นถวายพระนามซื่ออชิตเถระ ราชาคณะฝ่ายอรัญวาสี ทรงพระราโชทิศถวาย นิภัตร

          จากความในพระราชพงศาวดารข้างต้นจะเห็นได้ว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงมีพระราชประสงค์ในการสร้างวัดไชยวัฒนาราม เพื่อถวายอุทิศให้เป็นอนุสรณ์สถานในนิวาสสถานเดิมของสมเด็จพระพันปีหลังหรือพระราชมารดาของพระองค์ประการหนื่ง และสร้างเป็นการเฉลิมพระเกียรดิพระองค์อีกประการหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระเจ้าปราสาททองคงจะมีพระราชนิยมสถาปัดยกรรม ศิลปกรรมและลัทธินิยมแบบเทวราชของกัมพูชาโบราณเป็นอย่างมาก รูปแบบของสถาปัตยกรรมเเบบขอมจึงปรากฏย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่รูปแบบของสถาปัตยกรรมเเบบนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไดรโลกนาถ ซึ่งเน้นหนักมาทางด้านการสร้างสถูปเจดีย์มากกว่าการสร้างพระมหาธาตุหรือสถาปัตยกรรมในรูปแบบพระปรางค์

          ในแผนผังการจัดวางองค์ประกอบทางสถาปัดยกรรมของวัดไชยวัฒนาราม เป็นลักษณะของการถอดแบบแผนผังของจักรวาล ตามความเชื่อในทางศาสนาฮินดู หรือตามความเชื่อในคัมภีร์ไตรภูมิของฝ่ายศาสนาพุทธ ซึ่งมีต้นเค้ามาจากศิลปะขอมโบราณที่นิยมกำหนดให้ศูนย์กลางของจักรวาลคือเขาพระสุเมรุ หรือภูเขาที่ประทับอยู่ของเทพเจ้าออกมาเป็นชั้นๆ ตามลำดับ

          การอนุมานเรื่องราวของสถาปัตยกรรมเฉลิมพระเกียรติของพระเจ้าปราสาททองดังได้ล่าวมาข้างด้น เป็นการอนุมานขื้นมาจากพระราชนิยมในส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและพระราชจริยาวัดรที่ทรงได้กระทำในชวงรัชสมัยของพระองค์ดังจะได้ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงรัชกาลมาประกอบด้วยดังต่อไปนี้

          ภายหลังจากการสถาปนาวัดไชยวัฒนารามแล้ว รุ่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๑๗๔ ปีมะแม ตรีนิศก ทรงพระกรุณาให้ช่างออกไปถ่ายแบบอย่างพระนครหลวงและปราสาทกรุงกัมพุชประเทศเข้ามา ให้ช่างกระทำพระราชวังเป็นที่ประทับร้อนตำบลริมวัดเทพจันทร์สำหรับเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท จึงเอานามเดิมซึ่งถ่ายมาให้ชื่อ พระนครหลวง

          ภายหลังจากการสร้างวัดไชยวัฒนารามขึ้นแล้ววัดนี้ก็มีฐานะเป็นวัดพระราชาคณะฝ่ายอรัญวาสี และวัดที่ใช้ในการพระราชทานเพลิงศพพระราชวงศ์หรือขุนนางที่มีศักดึ้สูงเสมอด้วยเจ้าต่างกรม เช่น เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ผู้ว่าที่โกษาธิบดี เป็นด้น

          ความสำคัญและสวยงามของวัดไชยวัฒนารามในขณะนั้นมีค่ายิ่งและสมควรแก่การอวดแขกเมืองได้ดังที่สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในหนังสือเรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีปตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ดอนที่ว่า “ล่วงมาอีก ๗ วัน ถึง ณวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ข้าราชการไทย ๒ คนมาบอกราชทูตลังกาว่า มีรับสั่งให้ไปนมัสการพระที่วัด ๒แห่ง พวกทูตานุทูตจึงลงเรือไปกับขุนนางไทย ไปนมัสการพระทีวัดพุทไธสวรรย์ ก่อนออกจากวัดพุทไธสวรรย์ที่วัดปัลลัญกรอาราม อีกวัดหนึ่ง เมื่อนมัสการแล้วทั้ง ๒ วัด จึงกลับที่พัก”

          เรื่องราวอันดูเป็นโศกนาฏกรรมของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ เจ้าฟ้ากวีเอกแห่งกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้ผูกความรู้สึกอันซาบซึ้งต่อพระนิพนธ์ของพระองค์ทั้งในด้านอรรถรสของบทกวีนิพนธ์และเงื่อนงำในชีวิตของพระองค์ ซึ่งนำพาจุดจบชีวิตและพระวรกายอันไร้วิญญาณของพระองค์มาสร้างเงื่อนงำต่อให้แก่นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีพิสูจน์กันต่อไปอย่างไม่รู้จบ ณ วัดไชยวัฒนารามนี้เช่นเดียวกันด้วยความสั้นๆ ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า “จึงดำรัสสั่งให้เอาศพทั้งสอง (เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) และเจ้าฟ้าสังวาลย์) ไปฝัง ณ วัดไชยวัฒนาราม”

          จากการขุดแต่งและขุดตรวจวัดไชยวัฒนารามตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นด้นมา ได้ปรากฏภาพและแผนผังของวัดไชยวัฒนารามดีขึ้น แม้ว่าร่องรอยของสิ่งก่อสร้างบางอย่างจะถูกทำลายสูญหายไปเมื่อครั้งที่ทางราชการมีนโยบายปรับปรุงและพัฒนาวัดร้างโดยประมูลขายอิฐตามโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖

          นอกเหนือจากแผนผังของจักรวาลและองค์ประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องดังได้กล่าวมาเเล้วข้างต้นที่ริมลานประทักษิณด้านทิศเหนือ มีพระเจดีย์ทรงกลมฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลายและไม่ประณีตนักอยู่องค์หนึ่ง มีร่องรอยการขุดค้นหาสิ่งของอยู่ทั่วทั้งองค์ ในขณะที่ใกล้ๆ กันนั้นมีฐานรากของพระเจดีย์ ๓ องค์ องค์ที่ข้างเคียงกับองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดเเสดงให้เห็นโครงสร้างของฐานว่าเป็นฐานสี่เหลี่ยม ส่วนยอดนั้นตกอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กัน

          ในทิศทางเดียวกัน คือด้านทิศเหนือของโบราณสถานกลุ่มใหญ่ พ้นเขตพุทธาวาสออกไปมีพระปรางค์องค์เล็กๆ อีกองค์หนึ่งที่พระปรางค์องค์นี้ยังปรากฏลวดลายปูนปั้นอยู่บางส่วน

          เมื่อพิจารณาเจดีย์ขนาดเล็กที่เพิ่งกล่าวมาอย่างรอบคอบแล้วทำให้เชื่อได้ว่า พระปรางค์องค์เล็กๆ ที่อยู่นอกเขตพุทธาวาสนั้นไม่น่าจะใช้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิธาตุของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ เพราะประเพณีการสร้างศาสนสถานขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิในสมัยอยุธยาตอนปลาย คงไม่นิยมที่จะสร้างขึ้นเป็นเจดีย์ทรงปรางค์ มักจะสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลมเสียเป็นส่วนใหญ่ ประกอบทั้งลวดลายปูนปั้นที่ยังปรากฏอยู่ได้แสดงถึงความประณีตละเอียดอ่อน ซึ่งในระยะเวลาที่กระชั้นชิดและปิดบังซ่อนเร้นไม่น่าที่จะกระทำขึ้นได้ ความเป็นไปได้ของพระปรางค์องค์นี้อาจใช้สร้างขึ้นเพื่อเป็นหอพระในกลุ่มเขตสังฆาวาสของวัดเท่านั้น

          ส่วนพระเจดีย์ ๓ องค์ที่ตั้งเรียงกันอยู่นั้น สิ่งที่น่าจะพิจารณาได้ว่าเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ เจ้าฟ้าสังวาลย์ และเจ้าฟ้านิ่ม นั่นก็คือดำแหน่งของพระเจดีย์องค์ที่อยู่ดัานทิศดะวันดกสุดมีขนาดใหญ่กว่าองค์ที่อยู่ถัดต่อมาอีกสององค์สมดังที่ในพระราชพงศาวดารระบุว่า ๘โทษกรมพระราชวังบวรเป็นมหันต์โทษถึงประหารชีวิตเป็นหลายข้อ จะขอพระราชทานให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามขัตติยประเพณี จึงทรงพระกรุณาตรัสขอชีวิตไว้ แต่ให้นาบพระนลาตถอดเสียจากเจ้าเป็นไพร่ และเจ้าฟ้านิ่ม เจ้าฟ้าสังวาลย์นั้นให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนองค์ละยกสามสิบที่ให้ถอดเป็นไพร่จำไว้กว่าจะตาย และเจ้าฟ้าสังวาลย์นั้นอยู่สามวันก็สิ้นพระชนม์ แต่กรมพระราชวังบวรนั้นต้องรับพระราชอาชญาเฆี่ยนอีกสี่ยกเป็นร้อยแปดสิบทีก็ดับสูญสิ้นพระชนม์” เเม้ความในพระราชพงศาวดารจะไม่ระบุว่าสิ้นพระชนม์ทั้งสามพระองค์ แต่ก็น่าเชื่อว่าเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว คงจะนำมาฝังไว้ในบริเวณใกล้เคียงกัน เนื่องจากทั้งสามพระองค์ถูกลงพระราซอาญาเป็นมหันตโทษ การกระทำฌาปนกิจพระศพของพระองค์และพระชายาทั้ง ๒ พระองค์ คงจะได้กระทำขึ้นอย่างเงียบๆ และซ่อนเร้นเมื่อไม่ให้ระคายเคืองหรือเข้าพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ประกอบกับในระยะเวลาด่อมาบ้านเมืองก็มิได้เป็นปกติสุข ทั้งเหตุการณ์ภายในและภายนอกดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าในระยะเวลาต่อมาคงจะได้มีการขุดพระศพของทั้งสามพระองค์ขี้นมาทำการฌาปนกิจ และนำพระอิฐของทั้งสามพระองค์มาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่ตั้งเคียงกันทั้งสามองค์ ดังที่เห็นกันอยู่ในป้จจุบันนี้

          ภายหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าข้าศึกในปี พ.ศ.๒๓๑๐ แล้ว ความเสื่อมโทรมก็ได้เข้ามาครอบงำอดีตราชธานีเก่าไว้จนหมดมิด ทั่วทั้งแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเต็มไปด้วยร่องรอยของการขุดหาทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่ฝังไว้ตามที่ต่างๆ ขุดกันครั้งเเล้วครั้งเล่าด้วยเจตนาและจุดประสงค์ที่ต่างกัน แม้พระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่คิดจะป้องกันและรักษาอดีดราชธานีแห่งนี้ไว้ไห้คงอยู่เป็นหลักฐานของความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองให้ชาวโลกได้รับรู้ก็ตาม ตราบจนกระทั่งในปีงบประมาณ๒๕๓๐ รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบเร่งรัดฟื้นฟูการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นเงิน ๓,๓๒๓,๐๐๐.- บาท มาเพื่อการเริ่มต้นขุดค้นและขุดแต่งโบทณสถานวัดไชยวัฒนารามแห่งนั้นโดยได้งบด่อเนื่องมาเพื่อทำการดำเนินการตามกิจกรรมต่างๆ จนถึงปีงบประมาณ ๒๕๓๕ ในส่วนที่โอนเงินจัดสรรมาตั้งค่ายที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒,๘๕๑,๑๙๓.- บาทเพื่อให้ทันร่วมฉลองในโอกาสสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมพรรษาครบ ๖๐พรรษา

          วัดไชยวัฒนารามแห่งนี้ ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒  ตอนที่ ๗๕  วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๘  หน้า ๓๖๗๙ - ๓๗๑๗

 

 

 

 วิดีทัศน์

 

 แผนที่ : การเดินทาง