ชื่ออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

วัดดุสิตาราม


 

          วัดดุสิดาราม* ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๕ ตำบลหันตรา  อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  วัดมีเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่  ปัจจุบันมีพระภิกษุจำพรรษา  สังกัดคณะมหานิกาย

          หนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร  เล่ม ๔  ของกรมการศาสนา  กล่าวถึงประวัติการสร้างวัดดุสิดารามว่า  สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๑๐๐ และรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๐[๑]   หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า  ตอนที่กล่าวถึงพระอารามหลวงในกรุงศรีอยุธยา  ระบุชื่อวัดแห่งหนึ่งว่า  วัดดุสิตมหาพระนเรศวรทรงสร้าง[๒]  สันนิษฐานว่า  หมายถึงวัดดุสิดาราม

          วัดนี้มีเจดีย์สูงใหญ่เป็นโบราณสถานสำคัญของวัด   น. ณ ปากน้ำ  ได้กล่าวถึงเจดีย์องค์นี้ว่า  มีลักษณะเช่นเดียวกับเจดีย์วัดใหญ่ไชยมงคลแต่มีขนาดเล็กกว่า[๓]

          แต่ฐานของเจดีย์วัดดุสิดารามนั้น  เป็นฐานแปดเหลี่ยม และปรากฏร่องรอยว่ามีการก่อสร้างเพิ่มเติมภายหลัง  คล้ายคลึงกับส่วนฐานของเจดีย์ทองแดงวัดมเหยงคณ์  ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ  พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  ต่อมากรมศิลปากร  ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ  ลงในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๒  ตอน ๕๙  ง   ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๘

          จากหลักฐานดังกล่าวและลักษณะโบราณสถานที่ปรากฏ สรุปได้ว่า  วัดดุสิดารามสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง  และได้มีการบูรณะซ่อมแซมในสมัยอยุธยาตอนปลาย

          กล่าวกันว่าวัดดุสิดารามมีความเกี่ยวเนื่องกับบุคคลในประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งคือ  เจ้าแม่วัดดุสิต ผู้เป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)  กับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก  และเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เจ้าแม่วัดดุสิตผผู้นี้  มีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าทางสายสมเด็จพระมหาธรรมราชา[๔] สมเด็จฯ  เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช  ทรงกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตไว้ในหนังสือราชนิกูล รัชกาลที่ ๕  ว่ามีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าชื่อบัว[๕]  ส่วนพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์   ทรงกล่าวถึงเจ้าแม่ดุสิตไว้ในเรื่องเจ้าชีวิต ว่าเป็นหม่อมเจ้า  ทรงพระนามว่า  อำไพ  ซึ่งต่อมาบวชเป็นชีได้รับขนานสมญาว่า เจ้าแม่วัดดุสิต[๖]

          จากหลักฐานที่กล่าวแล้ว  พอสรุปความได้ว่า  เจ้าแม่วัดดุสิตนั้นเป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี  (ปาน)  กับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  และเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ท่านผู้นี้ได้มาสร้างตำหนักไว้ใกล้ๆ วัดดุสิดาราม  จึงได้ชื่อว่าเจ้าแม่วัดดุสิต  และตำหนักแห่งนี้ต่อมาเป็นที่ประทับของกรมพระเทพามาตย์  พระมเหสีของพระเพทราชา  ดังความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาตอนที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในรัชสมัยพระเจ้าเสือว่า

          “ในขณะนั้น  สมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ  ซึ่งเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน  ได้อภิบาลบำรุงรักษาพระองค์มาแต่ยังทรงพระเยาว์นั้น  ครั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว  จึงทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดดุสิต  และที่พระตำหนักวัดดุสิตนี้เป็นที่พระตำหนักมาก่อน  ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า และเจ้าแม่ผู้เฒ่าซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าและเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก เจ้าพระยาโกษาปาน  ซึ่งได้ขึ้นช่วยกราบบังคมทูลของพระราชทานโทษสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินขณะเป็นที่หลวงสรศักดิ์  และชกเอาปากเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ครั้งนั้น  และเจ้าแม่ผู้เฒ่าก็ได้ตั้งตำหนักอยู่ในที่นี้  ครั้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้และสมเด็จพระราชมารดาเลี้ยงก็เสด็จตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นี้สืบต่อกันมา  แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งเป็นกรมพระเทพามาตย์” [๗]

          วัดดุสิตที่กล่าวถึง  เมื่อพิจารณาจากภูมิสถานที่ตั้งแล้ว  น่าจะหมายถึงวัดดุสิดาราม  แต่ตำหนักเจ้าแม่วัดดุสิต  และตำหนักของกรมพระเทพามาตย์ที่กล่าวถึงนั้นไม่ปรากฏร่องรอย

          โบราณสถานที่สำคัญ

          เจดีย์ประธาน  เป็นโบราณสถานสำคัญที่สุดภายในวัด  รูปทรงสูงใหญ่  ตัวเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม  ฐานชั้นถัดไปอีกสามชั้นเป็นรูปแปดเหลี่ยม  ฐานช่วงกลางประดับแข้งสิงห์  ถัดจากฐานแปดเหลี่ยมเป็นบัวลูกแก้ว  ตัวองค์ระฆังเป็นทรงเรียว  ตรงบัลลังก์ย่อมุมไม้สิบสอง  มีเสาหาน  ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉนและปลียอด  มีบันไดทางขึ้นลงด้านทิศใต้  สภาพเจดีย์ชำรุด  มีต้นไม้ปกคุลม
          จากโครงสร้างขององค์เจดีย์  แสดงว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง  แล้วมีการบูรณะซ่อมแซมในสมัยอยุธยาตอนปลาย  โดยเฉพาะส่วนฐานชั้นล่างมีร่องรอยการซ่อมแซมอย่างชัดเจน  เจดีย์องค์นี้นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญเป็นประธานของวัด  ตรงมุมทั้งสี่ของเจดีย์ประธาน  มีเจดีย์บริวารมุมละองค์  ทั้งฐานชั้นบนและฐานชั้นล่าง  โดยเฉพาะฐานชั้นล่างได้ก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ ดังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน (๒ องค์) ส่วนของเดิมชำรุดพังทลาย

          อุโบสถ   อุโบสถวัดดุสิดารามมีขนาดเล็กซึ่งเป็นลักษณะการสร้างอุโบสถในสมัยอยุธยาตอนปลาย  ฐานอุโบสถแอ่นเป็นท้องสำเภา  ด้านหน้ามีพาไลและหลังคามีประตูทางเข้าด้านหน้าสองข้าง  ด้านข้างเจาะหน้าต่างข้างละบาน  มีเสาประดับผนังประดับกลีบบัว  หลังคามุงกระเบื้องดินเผา  ประดับช่อฟ้าใบระกาทำด้วยไม้  หน้าบันเป็นไม้แกะสลักลายกระหนก  ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นสมัยอยุธยา  อุโบสถทรุดโทรมมาก  แต่ปัจจุบันยังใช้ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา เช่น  บวชนาค ส่วนการทำบุญในวันธรรมสวนะใช้ศาลาการเปรียญ
          เสมารอบอุโบสถ  เป็นเสมาสมัยอยุธยาตอนปลาย  สร้างด้วยหินทรายสีขาว  รูปทรงเรียวมีลายดอกไม้ประดับตรงกลางด้านบนและด้านล่าง  ตั้งอยู่บนฐานรูปดอกบัว  แต่ตัวฐานเป็นของที่ทำขึ้นใหม่  ใบเสมามีร่องรอยว่าประดับกระจกแต่หลุดหายไปเกือบหมด
          เนื่องจากอุโบสถมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่แสดงว่าสร้างขึ้นหลังเจดีย์ประธาน  สันนิษฐานว่า  อุโบสถหลังนี้คงสร้างขึ้นแทนอุโบสถหลังเก่า ซึ่งคงจะทรุดโทรมลง
          ต่อมาในปี ๒๕๓๙  ทางวัดได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ทางด้านหน้าวัดติดถนน  ปัจจุบัน (๒๕๔๗)  ยังไม่แล้วเสร็จ

          ศาลา   ด้านทิศใต้ของพระอุโบสถ  มีศาลาโถงหลังหนึ่งเป็นศาลาที่สร้างขึ้นใหม่  ภายในประดิษฐานสิ่งสำคัญคือ  รอยพระพุทธบาทและใบเสมาหินทรายแดง

          รอยพระพุทธบาท  สร้างด้วยหินทรายสีขาว  ขนาดยาวประมาณหนึ่งเมตร  กว้างประมาณครึ่งเมตร  ตรงกลางรอยพระพุทธบาทเป็นรูปธรรมจักร  นอกธรรมจักรทำเป็นตารางสี่เหลี่ยม ภายในสลักภาพมงคล  เป็นลักษณะการสร้างรอยพระพุทธบาทในสมัยอยุธยาตอนปลาย รูปแบบคล้ายๆ กับรอยพระพุทธบาทที่สมเด็จพรเจ้าอยู่หัวบรมโกศส่งไปถวายกษัตริย์ลังกา[๘]   รอยพระพุทธบาทได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดดุสิดารามมาแต่เดิม  ชาวบ้านพบอยู่ในแอ่งน้ำในบริเวณใกล้วัด  จึงนำมาไว้ที่วัดนี้เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๘  หรือ  ๒๕๐๙ [๙]
          สันนิษฐานว่า  รอยพระพุทธบาทแห่งนี้เดิมน่าจะประดิษฐานอยู่ที่วัดสมณโกฏฐาราม  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดดุสิดารามนัก  ดังหลักฐานประกอบคือ

          วัดสมณโกฎฐาราม  เป็นวัดซึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี  (ปาน) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ต่อมาในสมัยพระเพทราชาได้ใช้เป็นที่เผาศพแม่นมของเจ้าพระยาโกษาธิบดี[๑๐]   วัดสมณโกฏฐารามนี้ในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์   เรียกว่า  วัดพระยาพระคลัง  จากการอธิบายแผนผังของวัดและรอยพระพุทธบาท[๑๑]  สันนิษฐานว่ารอยพระพุทธบาทที่กล่าวถึงในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ว่า  ประดิษฐานอยู่ที่วัดสมณโกฏฐารามนั้น  น่าจะหมายถึงรอยพระพุทธบาทซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดดุสิดารามในปัจจุบัน

          เสมาหินทราย   อยู่ทางด้านหน้าศาลา  ใบเสมาตั้งอยู่บนฐานสูง เจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม (พระเฉลิม  ฐิตสังวโร)  บอกว่าได้มาจากบริเวณใกล้ๆ วัด  จากรูปแบบและลวดลายมีผู้สันนิษฐานว่า  เป็นใบเสมาสมัยอโยธยา[๑๒]  ซึ่งยังไม่เป็นข้อสรุป  เพราะลักษณะทางศิลปะชวนให้คิดว่าเป็นงานในสมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษ ๒๐ - ๒๑ ได้ด้วย

          นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ เช่น  กุฏิสงฆ์  ศาลาการเปรียญเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง  และเมรุเผาศพ

          อนึ่ง  เมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๗  เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน (พระอรรถชัย  กตปุญโญ)  ได้พบฐานอิฐทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากอุโบสเก่าประมาณ ๑๕๐ เมตร  ติดทางรถไฟ สันนิษฐานว่าจะเป็นฐานมณฑป  ซึ่งชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่าเคยมีมณฑปในบริเวณวัดแห่งนี้  ทั้งนี้ทางวัดได้แจ้งไปยังกรมศิลปากรเพื่อสำรวจแล้ว  แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ  ซึ่งหากเป็นซากโบราณสถานก็จะเป็นหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่นักโบราณคดีต้องศึกษาค้นคว้าและเป็นแนววิเคราะห์วัดแห่งนี้ต่อไป.

 

 

* นายธีระ  แก้วประจันทร์  ค้นคว้าเรียบเรียง

[๑] กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๔. ๒๕๒๘. หน้า ๑๑๕.

[๒] กรมศิลปากร. คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด  และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์. ๒๕๐๗. หน้า ๒๑๖.

[๓] น.  ณ ปากน้ำ “วัดนอกตัวเกาะอยุธยา”  ช่อฟ้า. ปีที่ ๑  เล่ม ๗  มิถุนายน  ๒๕๐๙ หน้า ๒๔.

[๔] ม.ร.ว. ศึกฤธิ์  ปราโมช. โครงกระดูกในตู้.  ๒๕๑๔. หน้า ๑๘.

[๕] สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช. ราชนิกูลรัชกาลที่ ๕.  ๒๕๑๐. หน้า ๓

[๖] พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์. เจ้าชีวิต. ๒๕๐๔. หน้า ๘๓.

[๗] กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒. ๒๕๓๕. หน้า ๘๙.

[๘] นันทนา  ชุติวงศ์.  รอยพระพุทธบาทในศิลปะเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์. ๒๕๓๓. หน้า ๕๔.

[๙] สัมภาษณ์ พระเฉลิม  ฐิตสังวโร.  เจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม ในขณะนั้น  เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๕.

[๑๐] กรมศิลปากร. ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์. ๒๕๐๘ หน้า ๑๖.

[๑๑] แหล่งเดิม. หน้า ๕๒ - ๕๕.

[๑๒] น.  ณ ปากน้ำ. วิวัฒนาการลายไทย. ๒๕๒๔. หน้า ๖๑ - ๖๕.