ชื่ออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

วัดเจ้าปราบ


 

          วัดเจ้าปราบ เป็นวัดโบราณที่สำคัญวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ตั้งอยู่ริมถนนอู่ทอง  ตำบลประตูชัย  อำเภอพระนครศรีอยุธยา    ปัจจุบันเป็นวัดร้างไม่พบหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด  ใครเป็นผู้สร้าง  ในตำราแบบธรรมเนียมในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนตำราหน้าที่ตำรวจได้กล่าวถึงวัดเจ้าปราบว่า   ถ้าเสด็จไปทอดพระเนตรการวัดวาอารามในกรุงนอกกรุง  ถ้าในกรุง  ดุจหนึ่งไปวัดเจ้าปราบนั้น (ทรง) พระเสลี่ยงไป”  คำว่า  “เจ้าปราบ”  จึงน่าจะเป็นชื่อสำคัญในสมัยนั้น  ในจดหมายเหตุการพระศพสมเด็จพระรูป (สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ  พระราชธิดาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  มเหสีฝ่ายซ้ายของสมเด็จพระเพทราชา  ขณะสิ้นพระชนม์ทรงผนวชเป็นชี  ในจดหมายเหตุจึงเรียกพระรูป สิ้นพระชนม์เมื่อจุลศักราช ๑๐๙๗  ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)  กล่าวว่า  “ครั้นถึงฉนวนประทับเรือ  ณ ท่าปราบ  แล้วจึงทรงสั่งให้เชิญสมเด็จพระบรมศพขึ้นจากเรือพระที่นั่ง  แล้วแลเรือพระที่นั่งซึ่งล้นเกล้าฯ ทรงมานั้นถอยหลังลงประทับ ณ ขนานประจำท่าพระราชวังหลวง  แลขุนทิพภัยชนคุมพระราชยานทองลงไปรับเสด็จฯ  จึงเชิญเครื่องสิบแปดอย่างกลางแห่เสด็จไปหน้าจวนทหารใน  ไปเข้าประตูท่าปราบตามเสด็จพระบรมศพถึงพระที่นั่งจักรวรรดิ์ภัยชนมหาปราสาท”

          อาณาบริเวณของวัดเจ้าปราบกว้างขวาง  มีโบราณสถานสำคัญคือพระเจดีย์ พระอุโบสถ  และพระมณฑป  ติดกับกำแพงวัดด้านตะวันออกเฉียงใต้มีแนวรากฐานของคลังดีบุก  ดีบุกนั้นเป็นส่วยอย่างหนึ่งของบ้านเมืองที่เป็นของหายาก ในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศได้จัดเป็นสินค้าควบคุม  ดังในหนังสือสัญญาไทยฝรั่งเศส  ครั้งสมเด็จพระนารายณ์  ความว่า  ประการหนึ่ง  ถ้าแลกุมบัญชีต้องการซื้อดีบุก ณ เมืองถลางบางคลี  แลงาช้างแลช้างแลดินประสิวขาว ดีบุกดำ  หมากกรอก  ฝาง  ก็ให้ชาวคลังขายให้แต่ตามราคาซื้อขายแก่ลูกค้าทั้งปวง  แลอย่าให้กุมบัญชีซื้อขายสินค้ามีชื่อทั้งนี้แก่ลูกค้าซึ่งมิได้ซื้อแก่ชาวคลังนั้นเลย  ด้วยสินค้าเป็นส่วยสาอากรของหลวงแลห้ามมิให้ผู้ใดขายนอกจากชาวคลังนั้นเลย” ข้อความที่กล่าวมาข้างต้นพอจะเป็นข้ออนุมานได้ว่า  บริเวณวัดเจ้าปราบนั้นตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตรงกันข้ามกับวัดพุทไธสวรรย์  เป็นพื้นที่สำคัญอยู่ใกล้กับคลังดีบุก  และอยู่ใกล้กับถนนเหล็ก  หรือถนนตลาดเหล็กโบราณซึ่งเป็นถนนปูด้วยอิฐหนาประมาณ ๘๕ เซนติเมตร  ตามประวัติว่ายาวประมาณ ๑ กิโลเมตร    มีคูน้ำสองข้างตลอดแนวถนน  คงเป็นคูที่เกิดจากการขุดดินขึ้นมาถมถนน  ผู้สร้างวัดคงเป็นเจ้านายที่มีหน้าที่สำคัญในการป้องกันบ้านเมือง  อาจมีหน้าที่ควบคุมการสร้างอาวุธด้วย  จึงมีตำแหน่งเป็นเจ้าปราบ

          ทางด้านทิศใต้ของบริเวณวัดมีเจดีย์องค์ใหญ่เป็นเจดีย์ประธานของวัดและรากฐานอุโบสถ  มีกำแพงแก้วล้อมรอบ  ผนังด้านในของกำแพงแก้วทำเป็นช่องสามเหลี่ยมคล้ายๆ กับกำแพงแก้วด้านในรอบพระปรางค์ ที่วัดพระมหาธาตุ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเป็นช่องที่ใส่ชวาลาในวันงานเทศกาล  มีบันไดทางขึ้นฐานประทักษิณด้านทิศเหนือและทิศใต้ด้านละ ๒ ทาง

          อุโบสถหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  มีประตูทางเข้าด้านหน้า ๓ ประตู ด้านหลัง ๒ ประตู  ภายในมีฐานรากของเสากลมสำหรับรองรับหลังคาอุโบสถ   ด้านหลังอุโบสถทำเป็นมุขยื่นออกไป  มีฐานรากของเสารองรับหลังคาเหลืออยู่  หลังคาอุโบสถมุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย มีกระเบื้องเชิงชายเป็นลายเทพพนม เช่นเดียวกับที่พบตามวัดเก่าๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีฐานสำหรับตั้งใบเสมารอบอุโบสถ ๘ ทิศ  ใบเสมาหินที่พบในวัดนี้มีลวดลายคล้ายลายใบเสมาหินที่พบในวัดไชยวัฒนาราม

          เจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งเป็นเจดีย์ประธานอยู่หลังอุโบสถบนฐานประทักษิณเดียวกัน  เป็นเจดีย์กลมทรงระฆัง  ฐานแปดเหลี่ยม  องค์เดิมชำรุดเหลือเพียงองค์ะฆัง  กรมศิลปากรได้นำชิ้นส่วนที่พังทลายลงมาประกอบกันขึ้นและซ่อมเสริมเป็นองค์เจดีย์สมบูรณ์ที่เห็นกันอยู่ปัจจุบันนี้

          ทางด้านทิศเหนือของวัด  มีมณฑปทรงจัตุรมุขตั้งอยู่บนฐานประทักษิณสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อมุมไม้สิบสอง  มีทางขึ้นตรงชาลาทั้ง ๔ ทิศ  มุขทางด้านทิศเหนือและทิศใต้สั้น  มุขทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยื่นออกไปรับกับส่วนของฐานประทักษิณ นายคงเดช  ประพัฒน์ทอง  ได้ให้ความคิดเห็นไว้ในรายงานการขุดแต่งวัดเจ้าปราบซึ่งพิมพ์ลงในหนังสือโบราณคดีว่า  แต่เดิมมณฑปจัตุรมุขนี้น่าจะเป็นจัตุรมุขแบบสี่ทิศเท่ากัน  ต่อมาได้เกิดความคิดว่า ดูขัดกันกับฐานทักษิณที่ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อมุมไม้  จึงแก้ไขมุขตะวันออกและมุขตะวันตกให้ยื่นยาวออกไปรับกัน  แต่การแก้ไขครั้งนั้นคงทำขึ้นในระยะเวลาที่ไม่ห่างกัน  เพราะเหตุว่าแผ่นอิฐที่ใช้มีขนาดเท่ากัน การเพิ่มเติมคงจะรีบเร่งหรือคนละฝีมือช่าง  ทำให้การเรียงอิฐไม่เรียบร้อยตรงส่วนรอยต่อเพิ่มออกไป  เป็นแนวอิฐที่ชนกันเฉยๆ ทำให้มุขด้านตะวันออกและมุขด้านตะวันตกแนวอิฐแยกจากกันง่าย”   มณฑปนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ  ปัจจุบันเหลือเพียงฐานรองรับ  อาจจะรองรับรอยพระพุทธบาทก็ได้  ถ้าเป็นรอยพระพุทธบาท  มณฑปหลังนี้น่าจะเรียกว่า  มณฑปพระพุทธบาท

          วิหาร  ตั้งอยู่ระหว่างอุโบสถกับมณฑป  เป็นวิหารขนาดเล็ก    เหลือเพียงรากฐานแนวอิฐ  และแนวของชุกชี  เมื่อกรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งวิหาร  พบว่าวิหารมีขนาดกว้าง ๗.๒๐ เมตร  ยาว ๑๔.๘๐ เมตร  มีทางขึ้นทางมุมด้านหน้าทั้ง ๒ ข้าง  ตรงกลางมีบันไดขึ้นอีก ๑ ทาง

          ด้านหลังอุโบสถ  มีรากฐานของเจดียรายที่ได้รับการขุดแต่งแล้ว รวม ๖ องค์ นับจากทิศใต้เข้ามา  องค์แรกเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง  องค์ถัดมาเป็นเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมองค์ระฆังหักโค่นมาทางทิศตะวันตก  เจดีย์องค์ต่อไปเป็นเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยม อีก ๒ องค์ เหลือเพียงรากฐาน  องค์ทางทิศเหนือเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง  เจดีย์รายแต่ละองค์หักพังหมดเป็นการยากที่จะดูรูปแบบเดิมได้

          เสามุมกำแพงวัดเป็นเสาหัวเม็ด  มีประตูทางเข้าเป็นประตูซุ้มอยู่ที่กำแพงด้านทิศเหนือ ๒ ประตู  ด้านทิศตะวันออก ๑ ประตู

          คลังดีบุก ตั้งอยู่นอกกำแพงวัดด้านตะวันออก  เหลือเพียงรากฐานที่ก่อด้วยอิฐ กว้าง ๑๐.๕๐ เมตร  ยาว ๒๖.๙๐ เมตร ภายในแบ่งเป็นห้อง ๓ ห้อง ห้องทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเกือบเท่ากันแต่ห้องกลางมีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่น

          กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดเจ้าปราบ และคลังดีบุก  เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๓๙ วันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๖.