วัดพันธุเวสน์ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2435 โดยหลวงพ่อพันธ์ หลังจากที่บวชเป็นพระภิกษุและไปศึกษาพระธรรมที่หลวงพระบาง ประเทศลาว เป็นเวลาถึง 15 ปี และมีเจ้าอาวาสสืบต่อมาจนปัจจุบัน เท่าที่ทราบนามได้แก่  รูปที่ 1 พระพันธ์ รูปที่ 2 พระปา มหาปญฺโญ รูปที่ 3 พระน้อย สิริจนฺโท  รูปที่ 4 รูปที่ 5 พระลอง รูปที่ 6 พระสถัด ขนฺติโก รูปที่ 7 เจ้าอธิการผดุง ฐิตธมฺโม รูปที่ 8 พระครูสุตวัฒนคุณ วัดพันธุเวสน์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 สังกัดคณะสงฆ์นิกาย อาคารเสนาสนะประกอบด้วยกุฏิสงฆ์จำนวน 6 หลัง เป็นอาคารไม้ 5 หลังและตึก 1 หลัง นับเป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งในจังหวัดอำนาจเจริญ 

         ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของวัดพันธุเวสน์

          1.อุโบสถเก่า (สิมเก่า) 

ภาพแสดงบริเวณด้านข้างของอุโบสถ(สิม)เก่า

             มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 3 ห้อง วางตัวตามแนวทิศตะวันออก – ตะวันตก  โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง 4.90 เมตร ยาว 9.40 เมตร ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบช่างญวนจากประเทศลาว โดยส่วนฐานเป็นชุดบัวลูกแก้วอกไก่ 1 ชุด ซึ่งฐานส่วนล่างจมอยู่ใต้ดิน รองรับฐานเขียง 1 ชั้น เหนือฐานเขียงเป็นบัวคว่ำ โดยเจาะเป็นช่องประทีปแบบวงโค้งโดยรอบอาคาร ตัวอาคารมีระเบียงด้านหน้า แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเสา โดยเสาแต่ละต้นปั้นปูนเป็นบัวที่หัวเสารองรับวงโค้งที่ทำเป็นหยักตามแนวของวงโค้ง ราวระเบียงทั้งด้านหน้าและด้านข้างก่อเป็นผนังทึบ เจาะเป็นช่องประทีปแบบวงโค้งที่ด้านข้างเป็นแถวเรียงต่อเนื่อง มีบันไดทางขึ้นอยู่ตรงช่วงเสากลาง กว้างประมาณ 2.60 เมตร ยาวประมาณ 3 เมตร ราวบันไดทั้งสองข้างทำเป็นรูปสัตว์หิมพานต์แบบศิลปะลาว มีประตูทางเข้าช่องเดียว บานประตูไม้แบบ 2 บานเปิดเข้า ส่วนด้านใน ผนังด้านข้างทั้ง 2 ด้าน เจาะเป็นช่องหน้าต่างด้านละ 3 ช่อง ปัจจุบันปิดตายด้วยแผ่นสังกะสี ผนังด้านหลังก่อปิดทึบตลอดทั้งด้าน ส่วนเครื่องหลังคาไม้ทำเป็นทรงจั่วซ้อนกัน 2 ชั้น มุงด้วยสังกะสี ด้านหน้าก็ปิดทับด้วยสังกะสีเช่นกัน ภายในอาคารมีแท่นฐานชุกชีอยู่ติดกับผนังด้านหลังแต่ไม่มีพระประธานประดิษฐานไว้ มีเพียงพระพุทธรูปไม้ 2 องค์ ตั้งอยู่ภายใน

ภาพแสดงบันไดของอุโบสถ(สิม)เก่า ทำเป็นรูปนาคเฝ้าประตู บันไดจะผายออกเป็นการสร้างโดยได้อิทธิของช่างญวนจากประเทศลาว

ภาพแสดงแท่นฐานชุกชีภายในของอุโบสถ(สิม)เก่า

 

           2.วิหารน้อยหรือหอพระ

ภาพแสดงบริเวณด้านขวาของวิหารน้อยหรือหอพระ

             มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 3 ห้อง วางตัวตามแนวทิศตะวันออก – ทิศตะวันตก โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง 3.9 เมตร ยาว 7.5 เมตร ส่วนฐานเป็นชุดบัวลูกแก้วอกไก่ 1 ชุด โดยฐานส่วนล่างฝังจมอยู่ใต้ดิน ถัดจากชุดฐานเป็นตัวอาคาร โดยส่วนหน้าทำเป็นระเบียงแต่มีลักษณะเป็นห้อง มีช่องประตูทางเข้ากึ่งกลางด้านหน้า ด้วยการก่ออิฐเป็นซุ้มแบบซ้อนเหลื่อมกันขึ้นไปเป็นยอกแหลม มีช่องหน้าต่างก่ออิฐในลักษณะเดียวกันทั้ง 2 ข้างของช่องประตู รวมทั้งผนังส่วนระเบียงทั้ง 2 ด้านด้วย ผนังด้านข้างอาคารทั้ง 2 ข้าง เจาะเป็นช่องหน้าต่างเพียง 2 ห้องแรก ส่วนห้องที่ 3 ก่อผนังปิดทึบไม่มีหน้าต่าง รวมทั้งผนังด้านหลังก็เช่นเดียวกัน ช่องหน้าต่างก่ออิฐแบบซ้อนเหลื่อมกันเช่นเดียวกับช่องบันไดทางขึ้นและช่องหน้าต่างระเบียง ภายในอาคารปูกระเบื้องดินเผาเคลือบสีน้ำตาลเทาลายเรขาคณิต ฐานชุกชีก่อเป็นแท่นสี่เหลี่ยมยกพื้นสูงยาวติดตลอดแนวผนังด้านหลัง ประดิษฐานพระประธานปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ พุทธศิลปะแบบลาว (พื้นถิ่นอีสาน) ส่วนหลังคาเป็นเครื่องไม้ทรงจั่วมุงด้วยสังกะสี

ภาพแสดงภายในวิหารน้อยหรือหอพระ ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยพุทธศิลปะแบบลาว

 

 


รูปด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

         วัดศรีมุณฑา ตั้งอยู่ที่ บ้านคำฮี ตำบลโพนทราย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2461 โดยชาวบ้านคำฮีเป็นผู้สร้าง ซึ่งเป็นชาวข่าผสมลาวที่อพยพมาจากประเทศลาว ข้ามมาตั้งบ้านเรือนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ต่อมาภายหลังได้มีการอพยพย้ายมาอยู่ที่บ้านคำฮีได้ร่วมกันตัดไม้บนเขาและชักลากลงมาเป็นเสาศาลา และสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญคือ ศาลาการเปรียญ (หอแจก)

          ศาลาการเปรียญ (หอแจก) ก่อนบูรณะสภาพโดยรวมชำรุดทรุดโทรมมาก การบูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญ (หอแจก) ที่ผ่านมาจากคำบอกเล่าของพระอธิการสุเทพ อภิญาโณ (เจ้าอาวาสวัดศรีมณฑา) ทราบว่าใน พ.ศ. 2528 ชาวบ้านได้ช่วยกันทำบันไดคอนกรีตขึ้นมาแทนบันไดไม้ทั้ง 3 ด้าน เนื่องจากบันไดไม้เกิดชำรุดผุพัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2558 กรมศิลปากร โดย สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานีได้จัดสรรงบประมาณมาเพื่อทำการบูรณะ


แสดงช่อฟ้าด้านทิศเหนือ

          ลักษณะเป็นศาลาการเปรียญ เป็นศาลาโถงไม้ขนาดใหญ่ใต้ถุนเตี้ยทรงจัตุรมุข มีบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้น 3 ด้าน คือ ด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ ส่วนทิศตะวันออกกั้นผนังด้วยไม้ฝากระดาน ทำช่องหน้าต่างทุกห้อง ภายในศาลาเป็นโถงโล่งไม่มีราวระเบียง มุขด้านทิศตะวันออกยกพื้นสูงประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นประธาน หัวเสาทุกต้นสลักลายบัวคว่ำบัวหงาย ช่องลมใช้ไม้ระแนงทำเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ไม้เชิงชายสลักลาย หลังคาทรงจั่วซ้อนชั้นมุงกระเบื้องดินเผา มีเครื่องประดับหลังคาทั้งช่อฟ้ารูปสถูปแหลมที่กึ่งกลางหลังคา โหง่ว (หัวหงส์หรือช่อฟ้าแบบภาคกลาง) ใบระกา หางหงส์ เสาเป็นไม้ขนาดใหญ่ จำนวน 52 ต้น ลักษณะเด่นที่สำคัญคือ หลังคาเป็นเครื่องไม้ประกอบกับลักษณะการเข้าเดือยทั้งหมด ศาลาโรงธรรมออกแบบตามศิลปะไทยใหญ่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศพม่า

โหง่ว ใบระกา หางหงส์

ไม้เชิงชายฉลุลาย ด้านทิศเหนือ

ฝาผนัง ด้านทิศเหนือ

หางหงส์รูปหัวพญานาคปูนปั้น

        วัดศรีมุณฑา 

         ตั้งอยู่ที่ บ้านคำฮี ตำบลโพนทราย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร