ด้านทิศตะวันตก

         ปราสาททองหลาง ตั้งอยู่ที่บ้านหนองอ้ม ตำบลท่าโพธิ์ศรี อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ลักษณะเป็นปราสาทอิฐ 3 หลัง ตั้งเรียงแถวอยู่บนฐานเดียวกัน สภาพก่อนบูรณะชำรุดพังทลายลงมามาก    ทั้งจากการพังทลายตามธรรมชาติและจากการถูกลักลอบขุดหาของมีค่า โดยปรากฏหลุมและร่องรอยการลักลอบขุดอยู่ทั่วไปทั้งในองค์ประสาท และบริเวณรอบ ๆ ฐาน มีเศษอิฐและดินตกอยู่ที่บริเวณฐานปกคลุมตัวปราสาททั้งสามหลังอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะหลังทางด้านทิศเหนือที่ส่วนหลังคาพังลงมาจนหมดเหลือเพียงส่วนเรือนธาตุ บริเวณรอบปราสาทมีคูน้ำรูปเกือกม้าล้อมรอบ มีบารายขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทด้วย

         ลักษณะสถาปัตยกรรม ปราสาททองหลางเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐตั้งเรียงกันในแนวเหนือ-ใต้  บนฐานศิลาแลงเดียวกัน โดยปราสาททั้ง 3 หลัง มีขนาดไม่เท่ากัน ปราสาทหลังกลางจะมีขนาดใหญ่กว่าปราสาท 2 หลัง ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีทางเข้าปราสาทอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเช่นเดียวกันกัน ปราสาทหลังนี้ใช้อิฐเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง ใช้ศิลาแลงก่อเป็นฐานยกขึ้นมาจากฐานรวม โดยก่ออิฐตั้งแต่ฐานขึ้นไปจนถึงชั้นหลังคา กรอบประตูทางเข้าทำจากหินทราย ผนังอีก 3 ด้านก่อด้วยอิฐเป็นประตูหลอก

         ลักษณะแผนผัง อาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสเพิ่มมุม โดยก่อมุขสั้นๆ เป็นประตูหลอกและเสาประดับผนังยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน ที่ฐานและโคนเสารองรับปลายซุ้มหน้าบันทำเป็นบัวคว่ำ และสลักอิฐเป็นลวดลายลวดบัวเช่นเดียวกับเรือนธาตุส่วนบนที่ทำเป็นลายบัวคว่ำ บริเวณหน้าบันก่อเป็นอิฐพื้นเรียบ สลักลายเป็นกรอบหน้าบัน ยังเห็นลายสลักได้ชัดเจนที่หน้าบันด้านทิศใต้และเหนือ โดยสลักเป็นปลายซุ้มสลักรูปสามเหลี่ยม สลักลายเส้นลวดบัวคั่นระหว่างส่วนทับหลังและหน้าบัน ส่วนหน้าบันทางด้านทิศตะวันออกพังทลายลงมามาก แต่ก็ยังคงพอเห็นลายเส้นสลักบนแผ่นอิฐอยู่ โดยสลักเป็นลายกรอบหน้าบันเส้นกรอบประดับด้วยใบระกา ส่วนหน้าบันสลักเป็นลายกลีบบัวห้ากลีบ เหมือนหน้าบันด้านทิศใต้


ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้

         ด้านนอกรอบตัวปราสาทมีร่องรอยของคูน้ำล้อมรอบเป็นรูปเกือกม้า มีทางเข้าปราสาทอยู่ด้านทิศตะวันออก สำหรับคูน้ำกว้างประมาณ 20 เมตร ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูฝน และยังมีสระน้ำที่น่าจะเป็นสระน้ำของปราสาทธาตุทองหลาง มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างออกไปประมาณ 20 เมตร มีขนาด กว้าง 60 เมตร ยาว 100 เมตร


ขุดลอกคูน้ำด้านทิศตะวันออกซีกด้านทิศเหนือ

          ทางด้านตะวันออกถัดจากคูน้ำออกไปประมาณ 170 เมตร มีบารายขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นที่เก็บกักน้ำสำหรับชุมชนที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับปราสาททองหลาง มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีขนาดกว้าง 430 เมตร ยาว 455 เมตร มีความสูงประมาณ 2 เมตร เคยถูกบุกรุกเป็นนาข้าวจนตื้นเขินและตามขอบบารายมีราษฎรเข้ามาตั้งบ้านเรือน ทำแปลงผัก ขุดบ่อน้ำ และใช้ขอบบารายด้านทิศใต้เป็นถนนเข้าสู่ตัวปราสาท

          จากลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรม สันนิษฐานได้ว่าปราสาททองหลางมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เทียบได้กับศิลปะเขมร แบบบาปวน (พ.ศ. 1550-1620)

          ปราสาททองหลาง ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 53 ตอนที่ 34 ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2479 หน้าที่ 1526 – 1535 ประกาศขอบเขตในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 99 ตอนที่ 155 หน้า 33 (ฉบับพิเศษ) ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2525 มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา


พื้นที่ด้านทิศตะวันออก ซึกด้านทิศใต้

          วัดทุ่งศรีเมือง
           เลขที่ 95 ถนนหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000

          วัดทุ่งศรีเมืองตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2385 ตรงกับสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 หรือตรงกับเจ้าเมืองอุบลราชธานีคนที่ 2 คือ พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (พ.ศ. 2338-2388) สาเหตุการตั้งวัดขึ้นนั้นก็เนื่องมาจากท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ญานวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย) แห่งวัดมณีวนาราม ซึ่งดำรงตำแหน่งหลักคำ (เจ้าคณะ) เมืองอุบล มักนิยมออกมานั่งวิปัสนากัมมัฏฐานอยู่ที่บริเวณชายทุ่งศรีเมืองเป็นประจำ เมื่อนานวันเข้าก็มีคณะศิษยานุศิษย์ติดตามมาปฏิบัติธรรมมากขึ้น จนกระทั่งได้ตั้งเป็นสำนักปฏิบัติธรรม และต่อมาก็ได้จัดตั้งเป็นวัดขึ้นให้ชื่อว่า "วัดทุ่งศรีเมือง" ในที่สุด โดยมีท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ญานวิมลอุบลสังฆปาโมกข์เป็นเจ้าอาวาส

          หลังจากตั้งวัดทุ่งศรีเมือง ท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ญานวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย) ก็ได้คิดริเริ่มในการก่อสร้างหอไตร และหอพระพุทธบาท (อุโบสถ) โดยมีพระเถระองค์หนึ่งชื่อว่าญาครูช่าง เป็นพระมาจากนครเวียงจันทร์ ซึ่งได้มาพำนักอยู่วัดมณีวนารามเพื่อศึกษาปริยัติธรรมและวิปัสนากัมมัฏฐานกับท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ ให้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ทำให้เกิดการผสมผสานศิลปะระหว่างรูปแบบที่ได้รับจากภาคกลางและจากนครเวียงจันทร์เข้าด้วยกัน

          ในช่วงที่พระครูวิโรจน์รัต โนบล (บุญรอด นันตโร) (พ.ศ.2398-2485) ได้เป็นเจ้าอาวาส ได้มีการสร้างเสนาสนะภายในวัดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งในขณะนั้นท่านเห็นว่าทั้งหอพระพุทธบาทและหอพระไตรปิฎกมีสภาพทรุดโทรม จึงได้บอกบุญแก่ทายกทายิกาและผู้มีจิตศรัทธาให้บริจาคทรัพย์เพื่อการซ่อมแซม ในสมัยพระราชรัตโนบล (พิมพ์ นารโท) เป็นเจ้าอาวาสในราวปี พ.ศ. 2503 ได้มีการซ่อมแซมหอพระพุทธบาท โดยได้ซ่อมแซมช่อฟ้า ใบระกา และเครื่องมุงหลังคาใหม่ ผนังที่แตกก็ได้ก่อให้สนิท ตัดเส้นลวดใต้หน้าต่างให้ตรงบ้างเล็กน้อย พื้นเดิมเป็นดินปนทรายขัด ก็เปลี่ยนเป็นกระเบื้องหินเกล็ด บันไดขัดหินเกล็ด

          ในราวปี พ.ศ. 2517 ได้มีการซ่อมแซมหอพระไตรปิฎก โดยเปลี่ยนหลังคาจากสังกะสีมาเป็นคนกรีตแผ่นเรียบและทำการเสริมปูนซิเมนต์หุ้มเสาหอไตรทั้งหมด

          ในราวปี พ.ศ. 2524 กรมศิลปากร โดยกองสถาปัตยกรรม ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมหอไตรอีกครั้งหนึ่ง