วัดลัฏฐิกวัน


          ประวัติโบราณสถานหรือข้อมูลแหล่ง

         ก่อนที่จะกล่าวถึงประวัติและความเป็นมาของวัดลัฏฐิกวัน มีความจำเป็นต้องเท้าความถึง พระคุณเจ้า 2 รูปเสียก่อน เพราะท่านทั้งสองมีความผูกพันกับวัดนี้อย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้นประวัติและความเป็นมาอาจจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร คือท่านหอ หรือพระอุปัชญาย์หอ เป็นบุตรของเท้าเมืองโครก หัวหน้าชาวสะผ่ายคอนโค ที่อพยพมาจากนครจำปาศักดิ์ มาอยู่ร่วมกับชาวชะโนดในตอนตั้งใหม่ ๆ เมืองโครก เป็นต้นตระกูลของชาวหว้านใหญ่ เมืองโคตร ท่านหอเป็นคู่กับพระกัสสปะผู้เป็นหลานชาย แต่เกิดปีเดียวกัน คือ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2269 พออายุได้ 13 ปี ได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมโนภิรมย์ บ้านชะโนด ศึกษาพระธรรมวินัย พระไตรปิฎกคัมภีร์ต่าง ๆ แตกฉานไต่ครั้งเป็นสามเณร พออายุครบ 20 ปี อุปสมบทที่วัดเดิม 1 ปี ต่อมาได้ส่งไปศึกษาต่อที่นครเวียงจันทร์ทั้งคู่ สอบได้บาลีชั้นสูงได้รับสมณศักดิ์เป็นพระอุปัชญาย์ ส่วนพระกัสสปะได้เป็นพระครูมีความชอบจนพระเจ้าแผ่นดินเวียงจันทร์พระราชทานวัสดุก่อสร้าง พร้อมด้วยนายช่างสถาปัตยกรรม 3 คน มาสร้างโบสถ์ และพัทธสีมา วัดมโนภิรมย์ บ้านชะโนด ในปี 2296 และเสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 2299

         โดยที่ท่านบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อสร้างเสร็จท่านได้มอบให้พระครูกัสสปะเป็นเจ้าอาวาสวัดมโนภิรมย์ แล้วท่านได้ออกไปตั้งบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐาน ณ ป่าโนนรัง เหนือวัดเดิมออกไปประมาณ 10 เส้นเศษ ต่อมาได้ย้ายไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯแล้วมรณภาพที่กรุงเทพฯ

        อีกท่านหนึ่งคือพระอุปัชฌาย์บุ หรือพระบุ พระคุณเจ้ารูปนี้เป็นพระรุ่นหลัง ๆ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง เคยได้รับนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดมโนภิรมย์ แต่กลับไปปฏิสังขรณ์วัดที่บ้านเดิม คือ บ้านท่าสะโน ภายหลังจากบ้านชะโนดถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ.2447 ญาติโยมชาวชะโนดได้ตามไปนิมนต์อ้อนวอนให้มาซ่อมแซมวัดมโนภิรมย์ ท่านจึงรับนิมนต์นำชาวบ้านซ่อมแซมใน พ.ศ. 2448 ใช้เวลาซ่อมแซม 6 ปี คือ เสร็จเรียบร้อยใน พ.ศ. 2453 ต่อจากนั้น ท่านได้กลับไปสร้างวัดอีกแห่งเหนื่งที่ท่านสะโนพร้อมทั้งปฏิสังขรณ์วัดเก่าด้วย

        ในขณะที่ท่านอยู่ที่วัดท่าสะโนก็ดี อยู่ที่วัดมโนภิรมย์บ้านชะโนดก็ดี นอกจากที่ท่านจะใช้เวลาศีกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก และคัมภีร์ต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในวัดทั้ง 2 เป็นจำนวนมาก ท่านยังใฝ่ใจศึกษศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ทั้งจากตำราและของจริงที่บรรดามีในวัดมโนภิรมย์ จนมีความสามารถในด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมอย่างกว้างขวาง จนพระเถระ และเกจิอาจารย์หลาย ๆ ท่านยอมรับ เช่น พระครูโลกอุดร เจ้าอาวาสวัดมีชื่อหลายแห่งมาขอแบบ และนิมนต์ไปก่อสร้างถาวรวัตถุในพุทธศาสนา

         วัดลัฏฐิกวัน แปลว่า สวนตาลหนุ่ม แรกสร้างใหม่ ๆ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดป่า เนื่องจากตั้งอยู่ในป่าดอนสูง เรียกกันว่า ป่าโนนรัง ซึ่งก่อนหน้านั้น บ้านชะโนดมีบ้านเรือนเฉพาะแต่ชายฝั่งแม่น้ำโขงเท่านั้น เหนือวัดมโนภิรมย์ไปตามริมห้วยจะไม่มีบ้านเรือน และไร่สวนเลย เพิ่งจะมีหลัง พ.ศ. 2465 มานี่เอง ณ โนนรังอันเป็นที่ตั้งวัดลัฏฐิกวันปัจจุบัน ก่อน พ.ศ. 2458 มีที่บำเพ็ญสมณธรรมของท่านหอห่างจากวัดวัดมโนภิรมย์มาทางเหนือตามริมห้วยชะโนด 231 วา พระบุ นันทวโร จึงกำหนดที่แห่งนี้เป็นที่สร้างวัดใหม่

         พระบุ นันทวโร ได้กลับไปอยู่บ้านเดิม 5 ปี การซ่อมแซมต่อเติม และปฏิสังขรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย โดยที่ท่านอยู่ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมโนภิรมย์อยู่ ท่านจึงมอบหน้าที่ให้พระแพงซึ่งเป็นพระลูกวัดที่มีอาวุโสเป็นผู้ปกครองภิกษุสามเณรในวัดมโนภิรมย์ ท่านจะไปสร้างวัดใหม่ ณ ป่าโนนรัง ดังกล่าวแล้ว

          วัดลัฏฐิกวัน สร้างขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ พ.ศ. 2458 โดยสร้างพัทธสีมาขึ้นแทนที่บำเพ็ญสมณะธรรมของท่านหอให้สมบรณ์แบบในปีเดียวกันนั่นเอง ได้สร้างเจดีย์ขึ้น จากนั้นการก่อสร้างวัดใหม่ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มีกุฏิรูปจตุรมุข ศาลาการเปรียญ รอยพระพุทธบาทจำลอง สังเวชนียสถาน ประสูต ตรัสรู้ ปรินิพาน และถวายพระเพลิง สระโบกขรณีจำลอง

         ที่มาของข้อมูล

         เจ้าอธิการคำพู โอภาโส เจ้าอาวาสวัด, หนังสืออนุสรณ์บ้านชะโนดอายุครบ 100 ปี, นายไกรสุเนตร ศรีประทุมภรณ์ ศึกษาธิการอำเภอหว้านใหญ่, สำนักงานที่ดินอำเภอหว้านใหญ่

  

        ลักษณะทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม หรือสภาพแหล่ง

       เป็นโบสถ์ที่ผนังไม่ก่อทึบ(สิมโปร่ง) มีภาพจิตรกรรมฝาผนังลายปูนปั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องชาดก 10 ชาติ พระประธานภายในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปตอนแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ ผนังโดยรอบเป็นลวดลายปูนปั้นฝีมือช่างพื้นบ้านศาลา, รูปปั้น, ลวดลายปูนปั้นต่าง ๆ เป็นฝีมือช่างพื้นบ้านที่สวยงาม

       โบราณสถาน และปูชนียสถานที่มีในวัดนี้คือ

  1. พัทธสีมา สร้างขึ้นแทนของเดิม ภายในเป็นพระพุทธรูปตอนแสดงปฐมเทศนาแก่ ปัญจวัคคีย์ มีภาพเขียนผนังแสดงเรื่องชาดก 10 ชาติ
  2. พระธรรมเจดีย์ เป็นเจดีย์ขนาดกลาง กว้างด้านละ 2 วา 2 ศอก สูง 6 วา 2 ศอก รูปทรง จำลองพระธาตุพนมองค์เดิมก่อนที่กรมศิลปากรมาปฏิสังขรณ์ ภายในบรรจุพระไตรปิฎกที่เหลือจากไฟไหม้ ซึ่งใช้การไม่ได้ จึงเรียก พระธรรมเจดีย์ มีงานนมัสการทุกปีมาจนถึงบัดนี้ แต่พระธรรมเจดีย์ได้พังทลายตามสังขารธรรม เมื่อวันที่ 11 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2526 เวลา 06.00 น.
  3. รอยพระพุทธบาทจำลอง ขนาดกว้าง 60 ซ.ม. ยาว 120 ซ.ม. เป็นหินดานแกะสลักตามพระพุทธประวัติ
  4. สระโบกขรณีจำลอง กว้าง 10 วา ด้านเท่า จำลองรูปรามเกียรติ์แสดงกำเนิดฝน ปัจจุบันชำรุดผุพังไปมากแล้ว แต่ยังเหลือให้เห็นร่องรอยอยู่
  5. สังเวชณียสถาน มีพุทธประวัติตอนประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และถวายพระเพลิงเป็นพระพุทธรูปและรูปปั้นด้วยอิฐปูน แต่ประณีตสวยงาม มีมณฑปหลังคาที่เต็มไปด้วยศิลปกรรม และลวดลายควรแก่การสักการะบูชา นอกนั้นมีพระเจ้า 5 พระองค์สร้างไว้ในศาลาโรงธรรม ส่วนกุฏิ ได้มีการเปลี่ยนแปลงซ่อมแซมหลายครั้งแล้ว ศาลาโรงธรรมชำรุดรื้อและสร้างใหม่ขึ้นแทนแล้วนับตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ได้มีการก่อสร้างเสนาสนะ และถาวรวัตถุในวัดดังนี้ คือ โบสถ์วัดลัฏฐิกวัน เดิม พระพุทธรูปปางตรัสรู้ และผจญมารนั้น เป็นพระพุทธรูปกลางแจ้งไม่มีมณฑปหลังคา พระครูโอภาสธรรมกิจเจ้าอาวาส และทายกทายิกา เห็นว่าควรจะมีหลังคา จึงคิดจะสร้างมณฑปขึ้นมุงหลังคา ก็มีพระเถระหลายรูปแนะนำสร้างเป็นรูปวิหารเสีย เพราะวัดนี้ยังไม่มีวิหาร จึงพร้อมกันสร้างเป็นวิหารขึ้นโดยภายในยึดเอาพระพุทธรูปองค์เดิมเป็นประธาน เมื่อ พ.ศ. 2510 2. ศาลาการเปรียญ เนื่องจากศาลาเก่าเป็นศาลาขนาดเล็กซึ่งเหมาะสำหรับสมัยนั้น โครงสร้างเป็นไม้ทั้งสิ้น พื้นเป็นอิฐปูน ส่วนไม้ได้ชำรุดผุพังไปตามเวลา เจ้าอาวาสทายกทายิกา และพุทธศาสนิกชน จึงพร้อมใจกันก่อสร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2519 และเสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นปีที่บ้านชะโนดมีอายุครบ 300 ปี และวัดมีอายุ 72 ปี