สิม (อุโบสถ) หลังเก่า วัดป่าก่อ

          ตั้งอยู่หมู่ที่ ๙ บ้านป่าก่อ ตำบลหนองเหล่า อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ข้อมูลจากประวัติ วัดทั่วราชอาณาจักรระบุว่าวัดป่าก่อหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดโพธิ์ศรีมงคล” ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓
         โบราณสถานสำคัญภายในวัด ได้แก่ สิม (อุโบสถ) หลังเก่า ปรากฏหลักฐานประวัติการก่อสร้างเป็นตัวอักษรเขียนสีอยู่ที่บริเวณผนังของอาคารระบุว่า สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ และแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ มีลักษณะเป็นสิมทึบก่ออิฐถือปูนในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๕ ห้อง มีโถงหน้าแยกออกมาจากตัวอาคารหลัก มีขนาดความกว้างประมาณ ๔.๗๗ เมตร ยาว ๑๑.๑๐ เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ส่วนฐานเป็นฐาน เอวขัน บริเวณโถงหน้ามีบันไดทางขึ้น ๓ ด้าน โดยบริเวณด้านหน้าเว้นช่องวงโค้งโล่งขนาดใหญ่ ๓ ช่อง ส่วนด้านข้างเว้นช่องสี่เหลี่ยมโล่งขนาดใหญ่ข้างละ 1 ช่อง บริเวณทางเข้า-ออกสู่อาคารหลักมีประตูเพียงด้านเดียว ส่วนบริเวณผนังด้านข้างมีช่องหน้าต่างด้านละ ๓ ช่อง พร้อมกรอบบานเปิด-ปิด หลังคาทรงจั่วมุงด้วยกระเบื้องดินเผา ไม่ปรากฏการประดับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ภายในสิมเป็นพื้นปูด้วยกระเบื้องดินเผา และปรากฏเพียงฐานชุกชี นอกจากนี้โดยรอบของสิมยังปรากฏการประดิษฐานใบเสมาและแท่นบูชาอยู่ด้วย
สิม (อุโบสถ) หลังเก่า วัดป่าก่อ เป็นโบราณสถานที่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติมฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
โทร ๐-๔๕๓๑-๒๘๔๕

         วัดราษฎร์ประดิษฐ์

          หมู่ที่ 2 บ้านกระเดียน ตำบล กระเดียน อำเภอ ตระการพืชผล จังหวัด อุบลราชธานี

          วัดราษฏร์ประดิษฐ์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปีพุทธศักราช 2470 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 11.50 เมตร ยาว 16.5 เมตร เป็นวัดที่ชาวบ้านกระเดียนใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาเป็นเวลานานตั้งแต่บรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบัน วัดราษประดิษฐ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พุทธศักราช 2545 จากกรมศิลปากร

ศาลาการเปรียญ

          ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2468 สร้างขึ้นก่อนพระอุโบสถ ก่อด้วยอิฐฉาบปูนทั้งสองด้าน โดยใช้อิฐที่เผาขึ้นเองซึ่งชาวบ้านได้ใช้ดินจากหนองคันใส บริเวณตะวันออกของหมู่บ้าน ภายในมีการก่อสร้างธรรมาสน์ไว้กลางศาลา เพื่อใช้ในการแสดงธรรมของพระภิกษุ ซึ่งศาลาการเปรียญเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านใช้ปฏิบัติศาสนกิจในวันสำคัญทางศาสนา บริเวณทางเข้ามีปฏิมากรรมปูนปั้นรูปสัตว์คล้ายกิเลนอยู่ทั้งสองข้าง ประตูทำด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่สองบาน ด้านหน้ามีการตกแต่งด้วยไม้ฉลุลาย ตามแนวความคิดและความเชื่อของชาวบ้านในสมัยนั้น จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ทราบว่าช่างที่ก่อสร้างศาลาการเปรียญนี้มีทั้งช่างพื้นบ้าน และช่างชาวญวนอพยพที่เข้ามาขายแรงงานในสมัยนั้น

 พระอุโบสถ

          ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2478 เป็นอุโบสถก่อด้วยอิฐ ฉาบปูนเรียบทั้งสองด้าน หน้าบรรณวาดลวดลายเขียนสีเป็นรูปคล้ายมังกรพ่นน้ำ อีกด้านเขียนเป็นรูปนกหัสดีลิงค์ในป่าหิมพานต์ สีสันสวยงามและแปลกตา เนื่องจากเป็นศิลปะช่างญวน ชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธี ปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ และเป็นที่อุปสมบทให้แก่กุลบุตร โดยมีการก่อสร้างเสมารอบพระอุโบสถ และมีกำแพงล้อมรอบ โดยสร้างจากอิฐชนิดเดียวกัน ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัยก่ออิฐถือปูน ศิลปะไทยอีสาน และเป็นที่รวบรวมพระพุทธรูปบูชาปางต่าง ๆ ทั้งที่แกะจากไม้และหล่อด้วยโลหะ บันไดทางขึ้นมีศิลปะปูนปั้นเป็นรูปคล้ายพญานาคผสมมังกร เหนือบานประตูทางเข้ามีภาพวาดพระพุทธรูปด้วยลายเส้นพระอุโบสถแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก

 กุฏิลาย

          เป็นกุฏิที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง มีเสาจำนวน 12 ต้น จำนวน 2 หลัง หลังคาเดิมมุงด้วยแผ่นไม้ทั้งหมด แต่เนื่องจากมีอายุการก่อสร้างเป็นเวลายาวนาน ทำให้ไม้มุงหลังคาผุพัง ชาวบ้านจึงร่วมกันเปลี่ยนเป็นสังกะสี ด้านหน้าจั่วและฝาผนังกุฏิมีการติดประดับด้วยกระจก เพื่อให้เกิดความสวยงาม และใช้สีทาตกแต่งฝาผนังกุฏิ และมีการใช้ไม้แผ่นแกะสลักลวดลาย เพื่อแสดงให้เห็นภูมิปัญญา และฝีมือเชิงช่างพื้นบ้านอีสาน (ญาท่านพันเป็นผู้นำในการก่อสร้าง) ปัจจุบันกุฏิลายชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจกกรมศิลปากรแล้ว

          เดิมกุฏิไม้วัดราษฏร์ประดิษฐ์ เป็นอาคารก่อสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ใต้ถุนโล่งหลังคาทรงจั่ว ก่อสร้างเป็น 3 หลังชิดกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มุงหลังคาด้วยไม้แป้นเกล็ด ประดับหลังคาด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ทำด้วยไม้แกะสลัก ปัจจุบันกุฏิไม้วัดราษฏร์ประดิษฐ์ เหลือเพียง 2 หลัง คือ กุฏิหลังด้านทางทิศเหนือ (หลังกลางเดิม) จะเป็นอาคารโล่งไม่มีผนัง ที่ระเบียงด้านหน้าของอาคารมีบันไดขึ้น 2 ด้าน และกุฏิหลังด้านทิศใต้จะมีฝาผนังไม้กั้น ภายในเป็นห้องสำหรับที่พักจำนวนหนึ่งห้อง และฝาผนังไม้ด้านนอกจะทำการเซาะร่องระบายสีเป็นลูกฟักไม้ทั้งหลัง ซึ่งมีลักษณะคล้ายไม้ฝาปะกน หน้าจั่วประดับด้วยไม้ปิดหน้าจั่วลวดลายดวงอาทิตย์ฉายแสง แกะลวดลายที่ดวงอาทิตย์อย่างวิจิตรสวยงาม

 ธรรมมาสน์

          ตั้งอยู่ภายในศาลาการเปรียญ เป็นศิลปะผสมระหว่างศิลปะอีสานกับศิลปะญวน สร้างด้วยไม้ฉลุเป็นลวดลาย และทาสีด้วยสีจากธรรมชาติ ซึ่งยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจนถึงทุกวันนี้ และมีบันไดซึ่งทำจากไม้เนื้อแข็ง มีการตกแต่งลวดลายอย่างงดงาม จัดเป็นโบราณวัตถุที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ธรรมาสน์นี้เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการแกะฉลุลวดลาย และการใช้สี การตกแต่งบันไดทางขึ้นธรรมาสน์ ปัจจุบันยังมีการใช้งานธรรมาสน์นี้ในการแสดงธรรมในบุญมหาชาติของชาวบ้าน

          วัดศรีนวลแสงสว่างอารมณ์ 

          ตั้งอยู่บ้านชีทวน หมู่ที่ 2 ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี